หลังจากที่มีนัดกันชุมนุมรายวันไม่ได้มีหยุดหย่อนเท่าไหร่ แม้ในแต่ละวันจะดูบางตาไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะแผ่วลง
อาจจะใช่ถ้าวัดคำว่าแผ่วคือจำนวนผู้ชุมนุมเทียบกับวันที่มาร่วมชุมนุมกันเยอะๆ แล้ว เทียบแบบนี้บอกว่าแผ่วก็ได้
แต่สิ่งที่ไม่เคยแผ่วก็คือ “ข้อเรียกร้อง” ที่ทะลุเพดานจนพังลงมาแล้ว
และในวันที่ 17 พ.ย. วันที่การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านระบบรัฐสภา โดย 1 ฉบับนั้นเป็นร่างจากประชาชนที่ร่วมลงชื่อด้วย เรียกสั้นๆว่าฉบับ iLaw
ฝั่งม็อบคณะราษฎร์ก็หวังว่าถ้าสมาชิกรัฐสภาช่วยกันโหวตให้ร่างฉบับ iLaw ผ่านเข้าสู่กระบวนการไปได้ ก็จะนับเป็นก้าวแรกในการประณีประณอมเลยก็ว่าได้
แต่สุดท้ายถูกตีตกด้วยจำนวนสมาชิกสนับสนุนไม่ถึงอย่างที่ต้องการ นั่นก็คงสร้างความโกรธแค้นแก่ประชาชนเพียงพอประมาณนึงแล้ว ที่เค้าไม่สนใจในความหวังดีอันนี้
และรวมไปด้วยเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะลงคะแนนมติไม่นานที่หน้ารัฐสภา ที่เจ้าหน้าที่รัฐพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้มวลชนเข้ามาใกล้รัฐสภา โดยใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ มวลชนเสื้อเหลืองจัดตั้งมาปะทะกับม็อบคณะราษฎร์
นับว่าเป็นความเลวทรามและอัปยศอย่างต่อเนื่องของผู้มีอำนาจในประเทศอีกครั้ง
จนมาถึงวันที่ 18 พ.ย. นัดชุมนุมกันที่แยกราชประสงค์ มาร่วมแสดงการไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐในวันก่อน วันนี้ทุกคนมาพร้อมกับแรงโกรธแค้นกันมาพอสมควร
เมื่อเวลามาถึง จึงเป็นการระบายอารมณ์ด้วยสีน้ำและสีสเปรย์ลงบนถนน และ ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องนี้ผมถือว่าไม่ได้เป็นการกระทำอะไรที่รุนแรงเกินไปเลย
หากเทียบกับเหล่าแกนนำที่ต้องคดีในความไม่เป็นธรรมตั้งกี่คน หรือ กี่คืน การบาดเจ็บของผู้ร่วมชุมนุมที่โดนจากกลุ่มผู้ยั่วยุเสื้อเหลืองมาโดยตลอด และไหนการที่รัฐไม่เคยสนใจใยดีฟังเสียงประชาชนอย่างจริงๆ จังๆ
นี่ยังไม่รวมการกดขี่ของผู้มีอำนาจที่กระทำกับผู้เห็นต่างทางการเมืองอย่างรุนแรง ถ้านับเหตุการณ์ที่ใกล้ที่สุด ก็คงเป็นเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 53
การที่คณะราษฏร์ระบายอารมณ์ออกไปนั้น…ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่ถ้าเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ