ส่วนตัวไม่ค่อยได้ดูหนังสือสารคดีของ The Beatles เท่าไหร่ เท่าที่จำได้น่าจะแค่สารคดี 2 เรื่องนี้ How the Beatles Changed the World (2017) กับ George Harrison: Living in the Material World (2011) ของ Martin Scorsese บน NETFLIX เท่านั้น ส่วนใหญ่จะรู้ประวัติจากการอ่านๆ หนังสือ หรือ ตามเว็บไซต์ซะมากกว่า
แต่หลังจากได้ดู The Beatles: Get Back บน Disney+ ที่ใช้เวลาไป 7 ชั่วโมงกว่าๆ นั้น หลายๆ อย่างที่รู้หรือเคยรู้สึกกับสี่เต่าทองนั้น ก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ซึ่งอาจจะเคยรับรู้จากการอ่านงานเขียนจากที่ต่างๆที่มีอคติหรือความรู้สึกส่วนตัวบันทึกลงไปบ้าง แต่พอมาดูจาก Footage ยาวๆ แล้วได้เห็นได้ยินกับตาตัวเองแบบเหมือนได้ดู The Beatles ซ้อมกันจริงๆ มันก็เปลี่ยนแปลงความรู้สึกก่อนหน้านี้ได้เหมือนกัน
สำหรับผู้ชมที่ไม่ได้ชื่นชอบสมาชิก The Beatles มากหนัก ดูสารคดีชุดนี้แล้วอาจจะไปทางที่ค่อนข้างเบื่อ เพราะเป็นการบันทึกวีดีโอฟุตเทจยาวๆ ขณะที่ทางวงกำลังซ้อมเพลงเดิมๆ วนไปวนมา ความดราม่าไม่ได้มีเยอะแบบเราดูเรียลลิตี้หรือหนังสารคดีอื่นๆ ที่จะคัดมาเฉพาะช่วงดราม่าเด็ดๆเท่านั้น
แต่สำหรับแฟนๆ The Beatles แล้ว มันจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากๆ ในการสละเวลามาดู เพราะแต่ในละประโยคที่สมาชิกในวงได้พูดคุยกัน บางครั้งมันเป็นแค่เรื่องเล่าที่ได้ยินต่อๆ กันมา หรือบางเหตุการณ์ที่ได้ยินจากปาก John Lennon กับ George Harrison ที่ทึ่งในตัว Billy Preston ที่ได้เข้ามาร่วมแจมในการซ้อมของวง ทั้ง 2 คนถึงกับเอ่ยปากว่าจะเอา Billy Preston เข้ามาในวงเป็นเต่าทองคนที่ 5 เสียด้วยซ้ำ แต่แล้วได้ถูกขัดจังหวะโดย Paul McCartney
รวมถึงได้รับรู้ที่มาตอนอัดเพลงในแต่ละเพลงในอัลบั้ม Let It Be นอกจากที่มาของเพลงแล้ว ยังได้รับรู้อีกด้วยว่าเทคไหนได้ถูกนำเอามาใช้ในอัลบั้ม หรือที่มาของเพลงในบางอัลบั้มก็ได้เริ่มต้นบนการซ้อมในช่วง Get Back Sessions อย่างเพลง Two Of Us ที่ซ้อมกันได้หลากหลายอารมณ์มาก แต่วันนึงเบสของ Paul ไม่ค่อยดีเลยจะเอาไปซ่อม เลยเปลี่ยนเป็นเล่นกีต้าร์โปร่ง และตกลงเอาเวอร์ชั่นที่ไม่มีเบสนี่แหละ หรืออย่างเพลง Maxwell’s Silver Hammer ในอัลบั้ม Abbey Road(1969) เราจะได้เห็นผู้ช่วยส่วนตัวของวงอย่าง Mal Evans เป็นคนเอาฆ้อนตีเหล็กประกอบเพลงอีกด้วย
และส่วนตัวผมเองมีการรับรู้นิสัยของสมาชิกในต่างไปจากนี้หน่อยนึง เพราะจินตนาการไว้ว่า John Lennon คงจะเป็นคนติสท์ๆ แต่กลับกันในสารคดี Get Back นี้เค้าเป็นคนที่ขี้เล่นไม่มีฟอร์มอะไรมาก รวมถึง Yoko แฟนของ John Lennon เอง ก็เข้าใจว่าสมาชิกของวงนั้นไม่ชอบที่เข้ามาจุ้นจ้านมาก แต่กลับกันแม้คู่นี้จะตัวติดกัน แต่ก็ดูไม่มีปัญหากับวงแต่อย่างใด และ Paul McCartney ที่แอบคิดไปเองว่าดูเป็นคนสบายๆ แต่ในการซ้อมแล้วเป็นคนที่จริงจังและวางตัวเป็นหัวหน้าวงที่จุกจิกที่สุดในวง ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงานกันไปหมดแล้ว
นั่นล่ะครับสิ่งที่ว่าล้ำค่า เพราะบางอย่างเราได้แต่อ่านๆ กันมาไม่ได้เห็นกับตา ก่อนพาไปดูคอนเสิร์ตสุดท้ายที่ทั้ง 4 คนได้รวมตัวแสดงคอนเสิร์ตเป็นครั้งสุดท้าย แถมสารคดีนี้ Peter Jackson เองได้ใช้เทคโนโลยีเนรมิตรภาพในอดีตให้คมชัดขึ้นไปอย่างกับย้อนเวลากลับไปถ่ายทำกันใหม่ซะอย่างนั้น
หนังสารคดี The Beatles: Get Back แบ่งออกเป็น 3 Parts ดังนี้
“Part 1: Days 1–7” ความยาว 2 ชั่วโมง 37 นาที
เป็นช่วงที่วงกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากหยุดวงไปได้เกือบ 2 ปี เป็นการรวมตัวซ้อมที่ Twickenham Studios คือเป็นสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำรายการทีวี ที่จะดูกว้างๆ ผิดหูผิดตาต่างจากสตูดิโอที่ใช้สำหรับซ้อมดนตรี แถมยังมีกล้องหลายตัวแอบบันทึกการซ้อมไว้ตลอดเวลา โดยที่มีความตั้งใจจะกลับมาเปิดการแสดงสดต่อหน้าผู้ชมอีกครั้งและยังไม่สามารถตัดสินใจกันได้ว่าจะแสดงในรูปแบบไหน แต่มีความตั้งใจจะแสดงด้วยการใช้เพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ด้วยบรรยากาศที่กดดันและสถานที่ไม่คุ้นตา ทำให้วงมีความตึงเครียดและ จอร์จ แฮริสัน ก็หายตัวจากการซ้อมครั้งนี้ในที่สุด
“Part 2: Days 8–16” ความยาว 2 ชั่วโมง 53 นาที
หลังจากจอร์จ แฮริสันทิ้งวงไปไม่ยอมมาซ้อม และแผนการแสดงสดที่วางไว้ดูแล้วไม่มีความแน่นอน หลังจากนั้นจึงมีการเคลียร์ใจกันในวงที่บ้านของจอร์จ แฮริสัน แล้วทุกคนก็ตกลงกันว่าจะทิ้งการซ้อมที่ Twickenham Studios และเปลี่ยนกันไปที่ตึก Apple Corps เป็นที่ทางวงเป็นเจ้าของร่วมกัน และกำหนดว่าจะใช้ที่นี่เป็นที่บันทึกเสียงสำหรับอัลบั้มใหม่อย่างเป็นทางการ ใน Part นี้เราจะได้เห็น Billy Preston เข้ามาร่วมแจมกับวง ซึ่งการมาของ Billy ทำให้ความตึงเครียดในวงก่อนหน้านี้ผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
“Part 3: Days 17–22” ความยาว 2 ชั่วโมง 18 นาที
เดดไลน์ของโปรเจค Get Back ใกล้ถึงแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ Ringo Starr จะต้องไปถ่ายหนัง ถ้าหากเลยกำหนดไปแล้วมันก็จะไม่ครบองค์ แต่จนแล้วจนเล่าก็เกิดไอเดียสำหรับการแสดงสดให้เกิดขึ้นมาจริงๆ ได้สักที ซึ่งก็คือบนดาดฟ้าของ Apple Corps ที่ใช้บันทึกเสียงนั่นแหละ เป็นการแสดงบนดาดฟ้าในตำนานที่เราได้เห็นมันมานานแล้วนั่นเอง แต่ครั้งนี้เราจะได้เห็นเบื้องหลังแบบละเอียดยิบเลย
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่ถ้าเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ