Better Call Saul มีปัญหาปรึกษาซอล ก็มาถึงตอนอวสานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เริ่มออนแอร์ตั้งแต่ตอนแรกมาได้ 7 ปี และเป็น14 ปีที่ปิดฉากจักรวาล Breaking Bad ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2008 โดยจักรวาลนี้ประกอบไปด้วย Breaking Bad (2008-2013), Better Call Saul (2015-2022), El Camino: A Breaking Bad Movie (2019) และมียิบย่อยอีก แต่ถ้าเอาหลักๆ ก็แค่ 3 อันนี้ล่ะครับ เมื่อมันมาถึงตอนอวสานที่ทำออกมาได้ดีมากๆไม่พอ แต่ยังเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปใน Breaking Bad ให้ได้รับการอธิบายได้ชัดเจนขึ้น ดังนั้นบทความนี้จะมาสรุปและวิเคราะห์ตอนอวสานของจักรวาลนี้กันครับ
เมื่อถึงช่วงท้ายอีพี 9 ของซีซั่นที่ 6 “Fun and Games” เมื่อคิมช็อคกับเหตุการณ์ร้ายๆ และตัดสินใจจะออกจากเมืองแอลบูเคอร์คี พร้อมตัดใจจบความสัมพันธ์กับจิมมี่นั้น เท่ากับว่าอีพีที่เหลือคือ 10 – 13 จะเป็นการดำเนินเรื่องเหตุการณ์หลัง Breaking Bad และ El Camino ในภาพขาวดำพร้อมกับชื่อใหม่ของ จิมมี่/ซอล คือ “จีน ทาคาวิก” จะไม่เป็นแค่ทีเซอร์สั้นๆ เหมือนซีซั่นที่ผ่านมาแล้ว ด้านงานอาร์ทก็ทำออกมาได้เท่มากคือ “ภาพสี” จะเป็นเหตุการณ์ใน “อดีต” ระหว่าง การใช้ชื่อ “จิมมี่/ซอล” ซึ่งจะรวมเหตุการณ์ใน Breaking Bad ไปด้วย แต่หากเป็น “ภาพขาวดำ” จะเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน
ความคิดเห็นส่วนตัวคาแรคเตอร์ของตัวละครซอล กู๊ดแมน ผมเข้าใจง่ายๆ ตามนี้
จิมมี่ แมคกิลล์ / อดีต / ภาพสี / เหตุการณ์ก่อน Breaking Bad / นิสัยกะล่อนเป็นนักต้มตุ๋น แต่มีหัวจิตหัวใจ มีความเป็นมนุษย์บ้าง
ซอล กู๊ดแมน / อดีต / ภาพสี / เหตุการณ์ช่วง Breaking Bad / นิสัยเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลภมากและไร้หัวใจผลพวงจากเหตุการณ์ในอดีต
จีน ทาคาวิก / ปัจจุบัน / ภาพขาวดำ / เหตุการณ์หลัง Breaking Bad / ยังคงนิสัยซอล กู๊ดแมน แต่ต้องปิดบังตัวตนเดิมจากเจ้าหน้าที่รัฐ
เมื่อตอนที่เริ่มซีซั่น “จีน ทาคาวิก” ที่เป็นผู้จัดการร้านซินนาบอนในห้างอยู่เงียบๆ อย่างที่ “เอ็ด ร้านเครื่องดูดฝุ่น” แนะนำนั้น ก็ดันมีคนที่ย้ายมาจากแอลบูเคอร์คีจำเค้าได้ว่านั่นคือ “ซอล กู๊ดแมน” คนที่จำได้วันนั้นคือ “เจฟฟ์” ที่มีอาชีพคนขับรถแท็กซี่(ซอล เคยใช้บริการด้วยอีกต่างหาก) พร้อมกับเพื่อนเจฟฟ์ชื่อ “บัดดี้” ซึ่งเจฟฟ์อยากแสดงให้เพื่อนเค้าเห็นว่าเค้าจำซอล กู๊ดแมนได้จริงๆ เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ “จีน/ซอล” รู้สึกว่าเค้าเริ่มถูกคุกคามและไม่ปลอดภัย ตกใจและสับสนอย่างมากในเวลานั้น ถึงกับโทรหาเอ็ดเพื่อที่จะจ่ายเงินเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวตนและย้ายที่ใหม่อีกครั้ง
แต่แล้ว…ความคิดนักต้มตุ๋น (Con Man)ก็แว๊บเข้ามาในหัว และ พร้อมสู้กลับมันดีกว่า เลยยกเลิกสิ่งที่บอกเอ็ดไป และนั่นเป็นที่มาที่เค้าต้องปลุกตัวตนเดิมเพื่อใช้ในการกำจัดเจฟฟ์และบัดดี้ ใช้ความถนัดในการเข้าหาผู้สูงอายุกับแม่ของเจฟฟ์อย่าง “มาเรี่ยน” ซึ่งเจฟฟ์นั้นเป็นแค่อาชญากรปลายแถวจากแอลบูเคอร์คี่เท่านั้น ไม่คณามือเค้าแน่นอน และซอลทำสำเร็จไปได้แล้วแท้ๆ ซึ่งมันน่าจะจบแค่นั้น แต่โชคชะตาก็นำพาไปถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
“คิม เว๊กซ์เลอร์” คนรักเก่าในชื่อตอน “Breaking Bad” และ “Waterworks” คือจุดเปลี่ยนแรก
ช่วงที่กำลังหลบหนีนั้น ซอลเคยนัดวันเวลากับฟรานเชสก้าเพื่ออัพเดตข่าวคราวในแอลบูเคอร์คี และเมื่อได้คุยกันก็พบว่า
☑️ “สกายเลอร์” ให้การเพิ่มเติมกับ FBI โดยใช้ตำแหน่งฝังศพของ “แฮงค์และโกแมซ” เป็นข้อแลกเปลี่ยนตามวอล์ทแนะนำ
☑️ “เจสซี่ พิ้งค์แมน” ยังอยู่ในระหว่างการค้นหาของตำรวจเช่นเดียวกับซอล เป็น 2 คนสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ยังตามหาอยู่ โดยพบรถของเจสซี่บริเวณชายแดน (รถที่ถูกสลับเพื่อเบี่ยงเบนทิศทางการติดตามของตำรวจด้วยการช่วยเหลือของเพื่อนเจสซี่อย่าง แบดเจอร์ และ สกินนี่พีท)
☑️ ทรัพย์สินและบริษัทที่เปิดบังหน้าเพื่อฟอกเงินของซอลถูกยึดทั้งหมดจากรัฐบาล จะเหลือก็แค่ทรัพย์สินที่ซอลนำติดตัวไปด้วยเท่านั้น
☑️ “ฮิลล์ บาบิโน่” บอดี้การ์ดส่วนตัวถูกปล่อยตัวจาก ปปส. เพราะ ปปส.มีความไม่ชอบธรรมในการสอบสวน เมื่อโดนปล่อยตัวได้ย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดที่ “นิว ออร์ลีนส์”
☑️ “แดนนี่”, “แพททริค คูบี่ย์” และ “ไอร่า” ไม่ทราบสถานะและข่าวคราว
☑️ เพื่อนทนายคู่กัด “บิล โอ๊คลี่ย์” เปลี่ยนจากทนายฝั่งอัยการเขต มาว่าความเป็นทนายฝั่งจำเลยเหมือนที่จิมมี่/ซอล เคยเป็นมาก่อน
☑️ ตัว “ฟรานเชสก้า” เองก็ไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าไหร่ เพราะโดนเจ้าหน้าที่รัฐจับตาอย่างใกล้ชิด
☑️ และสุดท้ายก็เล่าให้ซอลฟังว่า “คิม” โทรหาเธอถามถึงสถานะการณ์ของซอล ซึ่งตรงนี้เองทำให้ซอลรู้สึกสตั้นไปประมาณนึงเลย ที่คนรักเก่าเค้ายังนึกถึงกัน ทำให้เค้าคิดแล้วคิดอีกหาทางติดต่อกลับไปหาคิมอีกครั้ง ที่ย้ายไปอยู่ฟลอริด้าหลังจากไม่ได้ติดต่อกันมา 6 ปี แต่เมื่อติดต่อได้คุยกันสำเร็จกลับกลายเป็นว่าการสนทนาครั้งนั้นจบลงไม่ได้ดีนัก
เหตุที่จบกันลงด้วยไม่ดีนักก็เพราะเหตุการณ์ฮาวเวิร์ดและลาโลนั่นล่ะ ที่ทำให้คิมรับตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ต้องเลิกอาชีพทนายความ เปลี่ยนเส้นทางอาชีพเป็นกราฟฟิคดีไซน์ ออกแบบโบชัวร์ให้บริษัทขายสปริงเกอร์รดน้ำต้นไม้ รวมถึงไลฟ์ไตล์และการแต่งตัวที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก่อนที่คิมจะเลือกเดินหนีออกจากแอลบูเคอร์คี่นั้น “จิมมี่/ซอล” พยายามที่จะโน้มน้าวและให้กำลังใจคิมให้ชีวิตเป็นปกติไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจคิมไม่ได้ ขณะเดียวกันเส้นทางอาชีพของซอลหลังจากขึ้นชื่อว่าเป็นทนายของอาชญากรแล้ว เงินทองเริ่มไหลเข้ามาหาเขามากขึ้น เป็นไปอย่างที่เค้าฝันไว้ ซึ่งยิ่งทำให้ซอลเข้าสู่ด้านที่มีความโลภจนยอมตัดใจเซ็นใบหย่ากับคิมโดยไม่แยแสเธอแม้แต่น้อย…ตรงนี้เองแสดงให้เห็นว่าทำไมเราจึงไม่เห็น “คิม เว๊กซ์เลอร์” ใน Breaking Bad
แต่ในระหว่าง 6 ปีช่วงเวลาที่ซ้อนทับใน Breaking Bad นั้น คิมก็มีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาณในการรู้สึกผิดหวังกับชีวิตที่ตัวเองและอดีตสามีของเธอทำมันขึ้นมา เท่านั้นยังไม่พอคิมคงช็อคกับที่ซอลถลำเข้าไปเป็นสหายแก๊งค์ค้ายา (A Friend Of The Cartel) ของอาณาจักรไฮเซนเบิร์ก ซึ่งมันไม่ใช่ตัวตนของอดีตสามีเธอเลย ที่ไม่เต็มใจจะทำงานให้แก๊งค์ค้ายาอย่าง “ลาโล ซาลามังก้า” เสียด้วยซ้ำ เมื่อคิมได้คุยโทรศัพท์กับอดีตสามีครั้งล่าสุด ทำให้รู้ว่าผู้ที่เกี่ยวพันทำให้ชีวิตเธอต้องตกต่ำนั้นได้ตายหมดแล้วอย่าง ไมค์ และ ลาโล (ส่วน กัส ฟริ้งก์ คิมน่าจะรู้จากข่าวไปแล้ว) จึงกล้าที่จะกลับไปหาอัยการที่แอลบูเคอร์คี่เพื่อสารภาพสิ่งที่เธอทำลงไปและมีผลให้ฮาวเวิร์ด แฮมลิน อดีตหัวหน้าเก่าต้องมาตาย รวมถึงไปสารภาพกับเมียของฮาวเวิร์ดอีกด้วย แก้ตัวให้ฮาวเวิร์ดนั้นไม่ได้ติดยา และเป็นเรื่องต้มตุ๋นที่คิมและซอลร่วมมือกันทำ แต่คิมก็ยังปิดบังสถานะของซอลไว้
แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ไม่มีพยายานวัตถุ พยานบุคคล ศพของฮาวเวิร์ดก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ดูๆแล้วฝั่งรัฐไม่น่าดำเนินการอะไรต่อ นอกจาก “เชอริล” เมียหม้ายของฮาวเวิร์ดจะฟ้องแพ่งกับคิมเท่านั้น เมื่อคิมได้สารภาพทุกสิ่งที่เธอทำมันไปในอดีต ทำให้เธอรู้สึกปลดปล่อยมันออกมา แม้ว่าจะปลดปล่อยความรู้สึกผิดออกมาได้ แต่ภายในจิตใจเธอก็ยังเศร้าอยู่ดี และร้องไห้ออกมาแบบฟูมฟายบนรถบัสที่มีคนอื่นอยู่อีกด้วย (Waterworks เป็นแสลงหมายถึงร้องไห้น้ำตาไหลออกมา) เมื่อถึงฟลอริด้าด้วยความรู้สึกปลดปล่อยอะไรบางอย่างไปแล้ว คิมเลือกจะทำงานด้านกฏหมายที่เค้ารักมัน ด้วยการทำงานที่สำนักงานทนายอาสาแทน
เมื่อการคุยโทรศัพท์ในรอบ 6 ปีของอดีตสองคนรักจบด้วยไม่ดีนั้น ทำให้ “จีน/ซอล” รู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือใครแล้ว เริ่มเบื่อตัวตนในร่างผู้จัดการร้านซินนาบอนที่ราบเรียบและไม่ตื่นเต้นเอาซะเลยนั้น จึงกลับเข้าสู่ด้านมืดของตัวเองอีกครั้งใช้วิชาการต้มตุ๋นชาวเมืองโอมาฮ่าด้วยความช่วยเหลือของลูกมือสมัครเล่นอย่าง “เจฟฟ์” และ “บัดดี้” โดยตัวของ “จีน” เองนั้นถลำลึกดำดิ่งดีแตกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก(ล้อกับชื่อตอนและชื่อซีรี่ย์ “Breaking Bad” พอดี) ซึ่งมันผิดวิสัยคนอย่างเขาอย่างมาก เขาเป็นนักต้มตุ๋นก็จริงแต่ก็มีหัวจิตหัวใจความเป็นคนอยู่บ้าง ที่ผ่านมาเลือกเหยื่อที่มักจะอวดตัวอวดรวยเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่รายสุดท้ายนั้นดูน่าสงสารจนไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังทำมันลงไป
ตรงนี้ถือว่าหักมุมนิดหน่อย “เจฟฟ์” และ “บัดดี้” นั้นมือสมัครเล่นจริงๆ จากที่คิดว่า 2 คนนี้คงหักหลังซอลแน่ๆ คงทำสิ่งที่เลวร้ายขั้นสุด ในที่นี้คือปล้นคนที่สูญเสียทุกอย่างและยังป่วยเป็นมะเร็งอีกด้วย (แบบไม่สนใจอะไรเหมือนที่ท็อดด์ยิงเด็กขี่มอเตอร์ไซค์ระหว่างการปล้นรถไฟใน Breaking Bad ซีซั่น 5 ตอนที่ 5 “Dead Freight” อะไรแบบนั้น) แต่กลับกันพวกนั้นมันมือสมัครเล่นจริงๆ โดยเฉพาะบัดดี้ที่ยืนยันไม่ยอมทำ จนซอลต้องไปย่องเบาเข้าบ้านเหยื่อด้วยตนเอง โดยมีเจฟฟ์ตามไปด้วย และเจฟฟ์นี่เองที่พลาดท่าง่ายๆ จนโดนตำรวจจับซะงั้น
เมื่อเจฟฟ์พลาดท่าโดนจับและซอลดูแล้วเห็นช่องว่างของกฏหมายที่ช่วยให้เจฟฟ์พ้นผิดได้ แต่คงไม่อยากออกตัวไปสถานีตำรวจ จึงโทรฯไปหาแม่ของเจฟฟ์ “มาเรี่ยน” ให้ไปช่วยลูกชายโดยเค้าจะแนะนำให้ โดยวิธีการพูดการโน้มน้าวมันแสดงลายเซ็นทนายจอมกะล่อนมันออกมาชัดเจน พร้อมทั้งหลุดเอาข้อกฏหมายของสองรัฐ “แอลบูเคอร์คี่ & เนบราสก้า” ไปเทียบกันให้ฟัง มาเรี่ยนจากที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่แล้ว ทำการค้นหาในเว็บไซต์ AskJeeves.com (ปัจจุบันคือ ASK.com เว็บไซต์ค้นหาเหมือน Google.com) ด้วยคีย์เวิร์ด “con man albuquerque” (นักต้มตุ๋น แอลบูเคอร์คี่) จากนั้นทำให้เธอรู้ว่า จีน ทาคาวิก คือ ซอล กู๊ดแมน เมื่อซอลมาถึงบ้านมาเรี่ยนและรู้ว่าตัวเองนั้นถูกเปิดเผยแล้ว พยายามที่จะปิดปากเธอ แต่ยังโชคดีที่เค้ายังไม่ถลำเข้าด้านมืดขนาดนั้น เพราะซอลสตั้นกับประโยคที่มาเรี่ยนพูดกับเค้าว่า “I trusted you” (ฉันเคยไว้ใจคุณ) ซึ่งประโยคนี้เองซอลจะให้โฆษณาบริการทนายของเค้าในทีวีและกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สูงอายุอย่างมาเรี่ยนด้วยซ้ำ ประโยคที่ว่าก็คือ “A Lawyer You Can Trust” ซึ่งดึงสติซอลกลับมาตอนที่ยังเป็นตัวตนจิมมี่ แม็คกิลล์ ว่าเค้าไม่ใช่เป็นคนแบบนี้สักหน่อย ทำให้ไม่ทำร้ายมาเรี่ยนและสุดท้ายก็โดนตำรวจจับได้โดยง่ายในที่สุด
และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ จีน ทาคาวิก ถูกเปิดเผยว่าเค้าคือ ซอล กู๊ดแมน
เหตุการณ์หลังโดนควบคุมตัว | การสู้คดี | และการละทิ้งตัวตน Saul Goodman
ชื่อตอนที่ 13 ใช้ชื่อตอนว่า Saul Gone ที่แสลงจากคำว่า It’s all gone ซึ่งความหมายมันก็เป็นไปได้หลายทางเมื่อก่อนเริ่มดู เช่น ซอลสามารถหลบหนีต่อไปได้เหมือนที่เจสซี่ทำ หรือ ซอลก็อาจจะจบชีวิตลงไปเหมือนวอล์ทเตอร์ ไวท์ มันก็สามารถเป็นไปได้ทั้งคู่ แต่เมื่อเริ่มเรื่องไม่ทันไร ซอลก็ถูกควบคุมตัวได้เรียบร้อยหมดโอกาสหนี
และเมื่อมีโอกาสใช้โทรศัพท์ขณะถูกควบคุมตัว เค้าเลือกที่จะโทรฯหาพนักงานในร้านซินนาบอน แสดงความรับผิดชอบในเรื่องงานว่าเค้าไม่สามารถไปเปิดร้านได้ในวันนี้ (เหมือนที่กัสโทรหาผู้จัดการร้าน “ไลล์” หลังบาดเจ็บเพราะดวลปืนกับลาโล) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “จีน ทาคาวิค” นั้นไม่เหลือใครแล้ว พร้อมทั้งแจ้งให้พนักงานในร้านให้แจ้งสำนักงานใหญ่ว่าให้หาผู้จัดการใหม่ อีกนัยนึงแปลว่าหลังถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงแล้ว เค้าต้องทิ้งตัวตน “จีน ทาคาวิค” กลับไปสู่ “ซอล กู๊ดแมน”
จากนั้นเค้าก็คิดได้ว่าเค้าจะแก้เกมส์ยังไงต่อ จนไปนึกถึงเพื่อนทนายคู่กัด “บิล โอ๊คลี่ย์” ที่ย้ายฝั่งมาว่าความให้ฝั่งจำเลยแทน ซอลสามารถโน้มน้าวเข้าสู่จิตใจของบิลอย่างตรงจุด ที่ลึกๆแล้วบิลเองก็มีความโลภ ริษยา และ อยากโด่งดัง ชักชวนให้มาเป็นทนายร่วมว่าความกับเขา แม้บิลรู้ว่าคดีนี้จะสู้ได้ยาก แต่ซอลใช้สกิลเด่นของเค้าโน้มน้าวบิลให้บินมาหาเค้าที่เนบราสก้าจนได้
เมื่อก่อนขึ้นศาล อัยการของรัฐและพนักงานสอบสวนกลาง(Feds/FBI) มาแจ้งข้อหาและโทษที่จะเสนอให้ทางศาลพิจารณา โทษรวมๆแล้วทะลุไปร้อยกว่าปี ซอลและบิลได้ทำการต่อรองโทษที่เหมือนจะจองจำตลอดชีวิตเหลือแค่ 7 ปี ตรงนี้แสดงให้เห็นความสามารถในด้านกฏหมายและการเจรจาของเขาได้เป็นอย่างดี ต่อรองจนกระทั่ง “มารี” เมียหม้ายของแฮงค์ ชเรเดอร์ 1 ในเหยื่อผู้สูญเสียจากอาณาจักรไฮเซนเบิร์กถึงกับโมโหเดินหนีออกไป
ทำไม “มารี” ต้องมาร่วมฟังการทำงานของรัฐ?
แม้ว่า “มารี” เป็นตัวละครที่ไม่ได้เด่นอะไรมากใน BB และยังเป็นตัวละครที่หลายๆ คนค่อนข้างไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ แต่คิดว่าการที่มาร่วมฟังก็เพราะว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับการตกเป็นเหยื่อของอาณาจักรวอลเตอร์ ไวท์ ซึ่งที่มีซอลเป็นผู้สนับสนุนและอยู่เบื้องหลัง แม้ว่า “มารี” จะเล่าความทนทุกข์ที่ต้องมาสูญเสียสามีแค่ไหน แต่กลับกันมารีก็จะได้ฟังจากปากของซอลด้วยว่าเค้าก็เป็นเหยื่อของวอลเตอร์ ไวท์ และ เจสซี่ พิ้งค์แมนเช่นกันไม่ต่างกับหลายๆ คน ซึ่งจุดนี้เค้าจะใช้ความน่าสงสารให้ลูกขุนเชื่อ แม้ว่าลูกขุนจะเชื่อแค่คนเดียวเค้าก็พอใจแล้ว แถมต่อรองลดโทษเหลือ 7 ปีได้สำเร็จอีกต่างหาก มารีแพ้ในเกมส์นี้ไปในที่สุด
เมื่อการต่อรองจนมาถึงไพ่ที่ซอลซ่อนไว้ใบสุดท้าย คือการขายเรื่องการตายของฮาวเวิร์ด แฮมลินที่ถูกลาโล ซาลามังก้ายิงตาย และอำพรางเหตุฆาตรกรรมโดยแก๊งค์คู่อิริอย่าง กัส ฟริ้งก์ นั้น กลับกลายเป็นว่าซอลนั้นไม่สามารถใช้ไพ่ใบนี้กับอัยการของรัฐได้ เนื่องจากคิม อดีตภรรยาได้เปิดเผยเรื่องนี้ไว้แล้วเมื่อเดือนก่อน ซอลถึงกับสตั้นไปชั่วขณะ การโทรศัพท์หาคิมครั้งล่าสุดนั้นมีผลกับทางเดินชีวิตต่อไปของเค้าจริงๆ
ขณะที่กำลังไปบินขึ้นศาลที่แอลบูเคอร์คี่ ซอลได้สอบถามเรื่องนี้กับบิลอีกครั้ง ทำให้เค้ารู้ว่าคิมจะไม่โดนดำเนินคดีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เว้นแต่ว่าอาจโดนฟ้องแพ่งจากหม้ายของฮาวเวิร์ดเท่านั้น ซึ่งซอลก็คิดแผนเจ้าเล่ห์อีกครั้ง โดยบอกบิลให้ไปแจ้งอัยการว่าเค้ามีข้อต่อรองเพิ่มอีกข้อ เค้าจะใช้เรื่องของฮาวเวิร์ดนั่นแหละ ซอลบอกว่าคิมนั้นพูดไม่หมด ซึ่งนั่นแปลว่าจะมีผลตามมากับคิมมากกว่าแพ่งแน่นอน และเมื่อคิมทราบเรื่องจากอัยการเก่าที่เธอคุ้นเคย ทำให้เธอต้องบินมาแอลบูเคอร์คี่เพื่อมาฟังการพิจารณาคดีนี้ด้วยตัวเอง
ทำไมซอลต้องทำอย่างนั้น อยากหักหลังคิมเพราะหมดรักกันแล้วเหรอ?
ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่อย่างนั้น ซอลพบกว่าคิมนั้นกล้าหาญมากที่สารภาพกับอัยการเขต คิมชนะจิตใจตัวเองในการมอบตัว (Turn yourself in) ซึ่งการคุยโทรศัพท์ล่าสุดซอลเกี้ยวกราดเรื่องการที่คิมแนะนำให้มอบตัว เค้าสวนก็บอกไปว่าคิมก็ควรจะทำด้วยเหมือนกันในเรื่องของฮาวเวิร์ด ซึ่งสุดท้ายแล้วคิมทำลงไปจริงๆ ด้วยความกล้า มันต่างกับซอลเหลือเกิน หลายๆ อย่างเค้าดูเป็นคนขี้ขลาดในการทำเรื่องแบบนี้ เลยต้องใช้ความกะล่อนเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ ซอลเลยมีความคิดอยากจะทำให้ได้แบบคิมบ้าง โดยการสารภาพไปตรงๆซะให้ได้รู้สึกถึงการชำระบาป แต่ไม่แน่ใจตัวเองว่าจะทำได้มั้ยหากไม่มีคิมอยู่ด้วยตรงนั้น เพราะการคุยกันล่าสุดของทั้งคู่นั้นจบลงด้วยกันไม่ดี คิดว่าคิมไม่น่าจะมาศาลแน่ๆ นั่นเลยเป็นวิธีเดียวที่ซอลรู้ว่าจะทำยังไงให้คิมมาร่วมฟังการพิจารณาคดีของเขาในครั้งนี้ นั่นแสดงว่าซอลไม่เคยหมดรักคิมเลย
และสุดท้ายซอลก็เห็นว่าคิมมาจริงๆ แต่คิมนั้นเหมือนจะมาด้วยความโกรธและเตรียมรับมือตามสไตล์คนที่ฉลาดอย่างคิม แต่ฝั่งซอลเองการเห็นคิมครั้งนี้ ทำให้เค้ามั่นใจที่เปลี่ยนใจที่จะทำมันให้ถูกที่ถูกทางและกลับไปเป็นตัวตนเดิมก่อนซอล กู๊ดแมนได้ยังไง ซึ่งหลังการรับสารภาพและการเป็นการพูดความจริงต่อหน้าศาลในแบบที่คิมรู้สึกได้ว่าซอลพูดออกมาจากใจจริงๆ ทำให้การต่อรองก่อนหน้านี้โทษ 7 ปีเป็นการตัดสินโทษจำคุก 86 ปีแทน
ทนายที่ไหนจะโง่รับโทษขนาดนี้ในขณะที่สามารถรับโทษได้เพียงน้อยนิดเสียด้วยซ้ำ? เราอาจมีคำถามแบบนี้อยู่ในใจ เมื่อซอลเคยใช้ชีวิตด้วยคารมกะล่อนเอาตัวรอดได้แต่ก็ไม่วายทำร้ายคนรอบข้างอยู่ตลอดนั้น คิดว่าผู้สร้างต้องการแสดงให้เห็นถึงการตั้งใจที่จะชำระบาปของเขา คงอยากให้เห็นถึงการสำนึกผิดของทนายคนนี้ และนอกจากคิมแล้วยังมีอีก 3 คนที่มีผลในชีวิตของซอล ทำให้รู้สึกที่จะสำนึกและตระหนักถึงด้านแย่ๆ ของตัวเค้าเอง ซึ่ง 3 คนนั้นคือ
ไมค์, วอลเตอร์ ไวท์ และ ชัค แมคกิลล์ ผู้ที่ทำให้ซอลสำนึกได้
ในอีพี Saul Gone นี้เราจะได้พบฉากย้อนอดีต (Flashback) แสดงให้เห็นว่าตัวตนของซอลนั้นเป็นยังไง โดยการเล่าผ่านคำถามของซอลว่า หากมีไทม์แมชชีน คุณจะย้อนไปแก้ไขเรื่องอะไร ? ซึ่งซอลถามคำถามนี้กับ ไมค์ และ วอลท์ โดยได้รับคำตอบที่ต่างกัน
ไมค์บอกซอลว่า เค้าจะไปแก้ไขตัวเองในปี 1984 ไปขัดขวางที่เค้ารับสินบนครั้งแรก(ไม่อยากเริ่มทำอะไรไม่ดี) และ ใช้มันไปอนาคตเพื่อดูคนที่เขารักว่าเป็นยังไงกันบ้าง แต่ซอล(จิมมี่)บอกว่าเค้าจะใช้มันไปลงทุนหุ้นในอดีตที่จะทำให้เค้าร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ซึ่งเงินที่จะลงทุนก็ไม่ใช่เงินที่ไหน เป็นเงินที่จิมมี่กับไมค์ขนข้ามทะเลทรายในตอนนั้นนั่นแหละ ซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นว่าไมค์ไม่ใช่คนโลภซึ่งตรงข้ามกับจิมมี่ (ยังชวนไมค์ขโมยเงินอันนี้แล้วหนีไปด้วยนะ) และไมค์ตอบกลับไปว่า “นายจะทำมันเพื่อเรื่องเงินเนี่ยน่ะ นายจะไม่เปลี่ยนอะไรเลยเหรอ?” คำตอบนี้ทำให้จิมมี่ฉุกคิดไปพักนึง
วอล์ทซึ่งเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ แน่นอนเครื่องย้อนเวลานี้เค้าไม่เชื่อว่ามันจะทำได้ ทำให้เค้าพูดกับซอลว่า อยากย้อนเวลาไปแก้ไขทำไม ทำไมไม่บอกว่าเสียใจเรื่องอะไรในอดีตแทน? ซึ่งนอกจากวอล์ทจะมองนาฬิกาที่เจสซี่ซื้อให้นั้น วอล์ทเค้าเล่าให้ซอลฟังถึงธุรกิจที่โดนเพื่อนหักหลัง(Gray Matter Technologies ใน Breaking Bad) พอถึงคราวซอลเล่าให้วอล์ทฟังเรื่องที่เค้าเสียใจนั้นคือ ช่วงเป็นวัยรุ่นเค้าแกล้งลื่นล้มหน้าห้างและทำให้ตัวเองบาดเจ็บเพื่อฟ้องเอาเงินจากห้าง และได้เงินนั้นมาส่งตัวเองเรียนบาร์เทนเดอร์ ซึ่งวอล์ทตอบกลับไปง่ายๆ ว่า “นายเป็นคนอย่างนี้มาตลอดสินะ” นั่นแปลว่าซอลเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินจริงๆ
ชัคพี่ชายของซอล(จิมมี่) ช่วงเวลาที่ชัคมีปัญหาทางจิตและจิมมี่เป็นคนเดียวเท่านั้นที่ปฏิบัติดูแลพี่ชายเค้าด้วยความจริงใจ(จริงๆ) แต่เมื่อชัคพยายามโน้มน้าวให้จิมมี่รู้ว่า คนเรามันสามารถเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีได้นะ ซึ่งเมื่อจิมมี่ได้รับเรื่องอะไรแบบนี้ทำให้เค้าไม่อยากคุย เค้าคิดว่าชัคนั้นอคติกับเค้าจนเกินไป จนแยกย้ายกันเราจะเห็นฉากที่ชัคหยิบหนังสือ H.G. Wells’ The Time Machine พร้อมตะเกียง ซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นว่าซอลนั้นนึกถึงเรื่องดีๆ ของพี่ชายเค้าในอดีตที่มีความทรงจำร่วมกันกับหนังสือเล่มนี้ และ ตะเกียงเป็นสิ่งที่ชัคเลือกใช้จบชีวิตหลังพบปัญหาหลายอย่าง เช่น น้องชายตัวเอง และ หุ้นส่วนอย่างฮาวเวิร์ด
เมื่อซอลรำลึกถึงสิ่งที่สามคนนี้ที่มีอิทธิพลในชีวิตเค้า ทำให้เค้าคิดได้ว่าตัวเองนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้แม้ในอดีตจะเคยเลือกทางเดินที่ผิดพลาดไปก็ตาม(Bad Choice Road) แต่ในตอนมีชีวิตอยู่ก็จงเปลี่ยนมันซะ นั่นทำให้เค้าไม่เรียกตัวเองว่า ซอล กู๊ดแมน อีกต่อไป เค้าบอกกับผู้พิพากษาว่าเค้าคือ “จิมมี่ แมคกิลล์” นั่นแปลว่าตัวตนของซอลได้จากไปแล้ว (Saul Gone)
ซอลจากไปแล้วแต่ตำนานยังคงอยู่
ในระหว่างที่อยู่บนรถผู้ต้องขังเดินทางไปอยู่สู่เรือนจำ แม้ว่าตัวเค้าเองได้กลับมาใช้ชื่อ “จิมมี่ แมคกิลล์” แล้วนั้น แต่ว่าผู้ต้องขังที่ร่วมทางกับเค้าไปยังคุกนั้นจำได้ว่า “ซอล กู๊ดแมน” ทนายของเหล่าอาชญากร คนชายขอบ คนที่สังคมเมินและมองข้าม พร้อมใจกันกล่าวถึงคำโฆษณาของเค้าพร้อมกันทั้งรถ “Better Call Saul” ซ้ำๆกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าชีวิตในคุกของจิมมี่นั้น ได้รับการปรนนิบัติอย่างดีแน่นอน เพราะสิ่งที่เค้าทำไปในอดีตอย่างน้อยก็ได้ช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้เหมือนกัน
และตำนานนักต้มตุ๋นยังคงอยู่… แต่ครั้งนี้เป็น คิม เว็กซ์เลอร์ นะ แม้ว่าเธอจะลาออกจากทนายแล้ว แต่ว่าบัตรประจำตัวทนายของเธอนั้นไม่มีวันหมดอายุ ทำให้คิมสามารถเข้าเยี่ยมจิมมี่ได้ในฐานะทนายความ ซึ่งจะมีอภิสิทธิ์หลายอย่างว่าญาติมาเยี่ยมแน่ๆ รวมถึงฉากจบแบบปลายเปิดระหว่างคิมกับจิมมี่ ยังคงแสดงให้เห็นว่าทั้งคู่นั้นชำระบาปและผ่านเรื่องแย่ๆ ไปแล้ว แม้ว่าโทษจองจำ 86 ปีนั้นอาจจะดูยาวนาน แต่คิดว่าสุดท้ายคิมยังจะสู้เพื่อจิมมี่ให้พ้นโทษโดยเร็ว และแม้จะรู้สึกหวานอมขมกลืนของฉากจบก็ตาม แต่ก็คิดว่าจบได้ดีมาก ซึ่งสมเหตุสมผลของการกระทำทั้งคู่แล้ว
ตั้งแต่เริ่มซีรี่ย์จนถึงตอนจบคาราวะทีมงานผู้สร้างที่สามารถสร้างงานศิลป์บนซีรี่ย์ออกมาได้อย่างดีเยี่ยมและไร้ที่ติจริงๆ ซีรี่ย์เรื่องนี้และจักรวาลนี้สมควรและเหมาะสมที่จะเป็นในการศึกษาการผลิตและการเขียนบทภาพยนตร์เป็นอย่างมาก และใครอ่านมาถึงบรรทัดนี้ได้ขอกราบคาราวะงามๆ สามจบเลยครับ !!
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่ถ้าเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ