บ็อบ โอเดนเคิร์ก(Bob Odenkir) ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีจากบทบาท “ซอล กู๊ดแมน” ในซีรีส์ยอดฮิต “Breaking Bad” และ “Better Call Saul” นั้น มาได้รับความท้าทายครั้งใหม่ในภาพยนตร์เรื่อง “Nobody” ชื่อไทย “คนธรรมดานรกเรียกพี่” ที่แต่งเรื่องโดยมือเขียนบทจาก “John Wick” มาเปลี่ยนจากภาพจำทนายจอมกะล่อนของเหล่าอาชญากร มาเปลี่ยนให้ซอลเป็น ฮัทช์ แมนเซล (Hutch Mansell) อดีตมือสังหารของรัฐบาลที่วางมือกลับไปสู่ชีวิตแบบคนธรรมดา แต่แล้วเรื่องก็มาพลิกผันกลับสู่ตัวตนเดิมเมื่อถูกโจรงัดบ้าน
แม้ว่าเรื่องนี้จะมีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ เช่น John Wick, The Equalizer, Wrath of Man และ Drive (2011) แต่ “Nobody” ก็ได้ทำออกมาได้ดูเพลินไม่มีเบื่อ ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องเวิ่นเว้อ เสิร์ฟความบันเทิงออกมาได้กล่มกล่อมเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ บ็อบ โอเดนเคิร์ก ในแบบฮีโร่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
Hutch Mansell (แอบเหมือนล้อเซลแมน) เป็นชายที่ดูเหมือนเป็นคนธรรมดาๆ ในเมืองนึง ใช้ชีวิตธรรมดาจนค่อนไปทางขี้แพ้เสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อครอบครัวถูกคุกคาม ฮัทช์ก็ลุกขึ้นสู้ เผยให้เห็นอีกด้านหนึ่งของตัวเองที่แม้แต่เขาเองก็ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริง การแสดงภาพของฮัทช์นั้น บ๊อบถ่ายทอดออกมาได้ทั้งน่าเชื่อและน่าหลงใหล ในขณะที่เขาเปลี่ยนจากคนธรรมดาที่เฉยเมยไปเป็นมือสังหารขั้นเทพที่ยากจะหยุดยั้ง
สิ่งที่ทำให้ “Nobody” แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่นที่คล้ายกันคืออารมณ์ขันในเรื่องแบบเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น “Dark Humor” ที่แม้จะมีฉากความรุนแรงและเข้มข้นไปด้วยแอ็คชั่น แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็อบอวลไปด้วยอารมณ์ขันแบบตลกร้ายๆ สไตล์ของ บ๊อบ โอเดนเคิร์กที่เราเคยเห็นจากซีรี่ย์ดังนั่นแหละ ที่ช่วยเพิ่มมิติที่ไม่เหมือนใครให้กับเรื่องราว นี่เป็นเครดิตของบ๊อบเลย เช่นเดียวกับบทซึ่งเขียนอย่างชาญฉลาดและทำให้รู้สึกไม่ติดที่นั่ง
อีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้แตกต่างคือ ผลที่ตามมาจากชีวิตแห่งความรุนแรงจากอดีตของฮัทช์ในฐานะนักฆ่าของรัฐบาลที่ดูเหมือนตามหลอกหลอนเขาตลอดทั้งเรื่อง และเรื่องนี้ก็ไม่อายที่จะเล่าความรู้สึกที่ต้องเผชิญของตัวละครต่อชีวิตเช่นนี้ ความลุ่มลึกทางอารมณ์เหล่านี้ ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับฉากแอคชั่น ทำให้พวกเขาสร้างผลกระทบและเป็นที่น่าจดจำยิ่งขึ้น
โดยสรุป “Nobody – คนธรรมดานรกเรียกพี่” เป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่โดดเด่นที่จะทำให้คุณลุ้นระทึกตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่รู้สึกน่าเบื่อเลย การแสดงของบ็อบ โอเดนเคิร์กในบทฮัทช์ แมนเซลล์ เป็นการผสมผสานระหว่างแอ็คชั่นเข้มข้นและตลกร้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องถูกใจผู้ชมอย่างแน่นอน ยิ่งโดยเฉพาะเหล่าๆแฟนคลับ “Breaking Bad” และ “Better Call Saul” เราจะได้เห็นภาพจำใหม่ของ บ็อบ โอเดนเคิร์ก กันบ้างเสียที จำไว้เลยว่า “อย่าไว้ใจลูกแกะ ในฝูงหมาป่า”
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจาก IMDB (สปอยล์)
- บ๊อบ ได้ไอเดียเรื่องนี้จากการถูกบุกรุกบ้านและขังผู้บุกรุกไว้ในห้องใต้ดิน ขณะเดียวกันระหว่างที่ต่อรองกับโจรไปด้วยนั้น เขารู้สึกหงุดหงิดกับวิธีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการกับสถานการณ์ และแอบคิดว่าตัวเองจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรหาก “เป็นคนเลวๆ”
- บ๊อบใช้เวลาสองปีในการฟิตหุ่นออกกำลังเพื่อรับบทนี้ และภูมิใจกับมันมาก เพราะฉากเสี่ยงๆเกือบทั้งหมดนั้น แสดงเองโดยไม่ใช้สตั้นแมน หรือ นักแสดงแทน ในหลายๆฉากเลย
- เดิมทีเรื่องราวเริ่มต้นด้วยการแหกคุกของฮัทช์ แต่ก็เปลี่ยนเป็นภาพตัดต่อแบบเร็วๆ วนลูปอย่างที่เห็นในช่วงแรก เพื่อให้เห็นว่าฮัทช์เป็นผู้ชายที่รู้สึกติดอยู่ในวงจรธรรมดาๆของชีวิตในครอบครัวแถบชานเมือง
- เป็นไอเดียของบ๊อบฉากบนรถเมล์ ที่ให้ฮัทช์โดนเอาหัวโขกกับเสารถระหว่างต่อสู้ เพื่อลดความองอาจของฮัทช์และตอกย้ำว่าเขาไม่ใช่พระเอกของหนังแอ็คชั่นทั่วไป
- รอยสักบนข้อมือของฮัทช์ที่เป็นไพ่เจ็ดโพธิ์ดำและสองข้าวหลามตัด ถ้าเป็นไพ่ตอนเริ่มในการเล่น Texas Hold ‘Em Poker ได้คู่ไพ่เลข 7 กับ 2 ถือว่าเป็นไพ่ที่แย่ในการเริ่มต้น สมควรแก่การหมอบ นั่นแปลว่าศัตรูที่เห็นรอยสักก็ควรหมอบเช่นกัน ไม่มีทางชนะได้หรอก
- คนรัสเซียผิวดำนี่มีอยู่จริง ตามที่ผู้กำกับได้รับรู้มา เหตุผลเพราะว่าช่วงปี 1980 รัสเซียเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค มีนักกีฬาผิวดำมาไข่แล้วทิ้งไว้ที่รัสเซียเยอะเหมือนกัน
- ในฉากหนึ่ง ฮัทช์เปลี่ยนแม็กกาซีนแบบเดียวกับที่จอห์น วิคทำในภาค 2 (2017) ซึ่งภาพยนตร์ทั้งคู่แต่งโดย Derek Kolstad
- คริสโตเฟอร์ ลอยด์ เกือบถอนตัวจากภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเนื่องจากอาการลำไส้แปรปรวน แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี แถมยังมีวันเกิดเดียวกันกับบ็อบ โอเดนเคิร์ก อีกต่างหาก คือวันที่ 22 ตุลาคม และยังเป็นบ๊อบอีกนั่นแหละที่บอกผู้กำกับว่าอยากให้มารับบทเป็นพ่อของบ๊อบ แน่นอนทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วยตามโปรดิวเซอร์นั่นล่ะครับ
- เพลง “The Impossible Dream (The Quest)” ที่เล่นในภาพยนตร์เป็นเพลงตัวอย่างใน John Wick: Chapter 3 – Parabellum (2019) ด้วยเหมือนกัน
- เรื่องนี้พระเอกจัดการศัตรูไปประมาณ 50 คน ประกอบด้วย: 9 คนบุกบ้าน, 2 คนที่ทำร้ายพ่อ, 21 ปกป้องรัง Obschak และอีก 18 คนโจมตีโรงงานของพระเอก
- ตัวอย่างภาพยนตร์แสดงความเชื่อมโยงกับ John Wick มาก และโปสเตอร์ก็ดูเกือบจะเหมือน John Wick: Chapter 2 เพียงแต่ใช้กำปั้นแทนปืน
ตัวอย่างภาพยนตร์
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่ถ้าเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ