พอดีไปเห็นโพสท์ว่าหนังเรื่อง Primal Fear (สัญชาตญาณดิบซ่อนนรก) ดูได้ถึง 30 เมษายน 2023 เป็นวันสุดท้าย เคยได้ยินชื่อมานานและไม่เคยดูมาก่อนเลย ก็เลยต้องเปิดดูสักหน่อย ก็พบว่าเป็นภาพยนตร์ที่แฟนหนังดราม่าในห้องพิจารณาคดี ระทึกขวัญจิตวิทยา น่าจะต้องชอบ หรือจะมองดูเป็นภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยมทั่วๆ ไปก็ได้ เป็นหนังที่มีการแสดงได้ดีจริงๆ เรื่องนึง
แต่ก่อนอ่านบรรทัดถัดไป อยากให้ดูให้จบก่อน ทั้งเรื่อง Primal Fear กับ Fight Club นะครับ อาจมีเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน
เริ่มด้วยขอพูดถึงการแสดงกันก่อน เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน(Edward Norton)แสดงการออกมาได้สุดจริงๆ กับบทแอรอน สแตมป์เลอร์ เด็กวัด(คาทอลิก)ที่ดูใสซื่อกับหน้าตาหล่อเหลาน่าเอ็นดู ซึ่งถูกกล่าวหาว่าฆ่าอาร์ชบิชอปอย่างโหดร้าย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตันแสดงความสามารถในการเปลี่ยนผ่านระหว่าง 2 บุคลิกที่อ่อนโยนและขี้อายไปสู่บุคลิกที่เจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ เราจะเห็นการถ่ายทอดสีหน้าระหว่างความอ่อนโยนและชั่วร้ายออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ไม่แปลใจที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (ผู้ได้รับรางวัลเป็น Cuba Gooding Jr จากเรื่อง Jerry Maguire) การรับบทที่ต้องมี 2 บุคลิกแบบนี้ ต่อมาเค้าได้รับอีกครั้งใน Fight Club (1999) (แต่ว่า แบรด พิทท์ เป็นตัวตนในจินตนาการของเอ็ดเวิร์ดอีกที)
ส่วนริชาร์ด เกียร์(Richard Gere) แสดงในบทมาร์ติน เวล ทนายฝ่ายจำเลยออกมาได้ดี ตัวละครที่ดูเป็นฮีโร่ที่มีตำหนิอยู่บ้าง ทนายความที่เก่งเป็นถึงอดีตทนายฝั่งอัยการ อาศัยฉากหน้าในการรับงานบริการสังคม(pro bono)ที่ดูเหมือนจะชนะได้ยากแต่ก็แอบเห็นช่องทางชนะเพื่อใช้เพิ่มชื่อเสียงของตัวเอง โดยเขาแสดงความซับซ้อนของตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
การดำเนินเรื่องในช่วงแรก อาจทำให้เหมือนจะเดาได้จนจบ เริ่มต้นด้วยการฆาตกรรมที่น่าสยดสยอง จากนั้นก็จะเข้าสู่เรื่องกระบวนการพิจารณาคดีในศาลเป็นประเด็นหลักในเรื่องนี้ ในขณะที่การพิจารณาคดีดำเนินไป เราจะเห็นว่าทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกอย่าง เพื่อพยายามโน้มน้าวคณะลูกขุน เป็นมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับระบบกฎหมายและวิธีการจัดการ แต่นั่นพอมาถึงในจุดสุดท้ายของหนังก็แอบช็อคและถือว่าเป็นการจบเรื่องได้ดีจริงๆ เกิดคำถามในใจหลังดู มาร์ตินที่ชนะคดีและรู้สึกแพ้กับการเสียเหลี่ยมให้กับแอรอน ส่วนเจเน็ต ทนายฝั่งอัยการ แพ้คดีในสิ่งที่คิดว่าน่าจะชนะแล้วแน่ๆกับให้มาร์ติน แต่ท้ายที่สุดท้ายแล้วความรู้สึกของ 2 ทนายนั้นน่าจะไปบรรจบกันด้วยความพ่ายแพ้ทั้งคู่นั่นแหละครับ
ความเห็นเพิ่มเติม : หนังทนายกับการพัฒนาจากเรื่องนึงไปสู่เรื่องนึง
อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว เพราะดูหนังที่เกี่ยวกับทนายและการว่าความน้อยมาก จึงใช้ความรู้สึกในการเขียนมากไปก็ได้นะครับ
หนังจากที่ดูเรื่อง Primal Fear ก็แอบนึกถึงทนายอย่าง Saul Goodman ขึ้นมารู้สึกว่าเรื่องนี้กับจักรวาลของ Breaking Bad มีอะไรที่คล้ายๆ กันอยู่
และก่อนหน้านี้ที่เคยเขียนวิจารณ์เรื่อง Hunger คนหิว เกมกระหาย ว่าดูแล้วนึกถึงหลายๆ เรื่อง ซึ่งตรงนี้อยากจะบอกไว้ก่อนว่า การที่ใช้ตัวละครจากเรื่องนึง ไปพัฒนาตัวละครหรือเรื่องอื่นๆ อันนี้เป็นเรื่องที่ปกติมากๆ ถ้าทำออกมาแล้วเชื่อได้ และทำได้ดีน่ะครับ
เรื่องนี้ก็เหมือนกันอย่างที่บอกว่ามีหลายอย่างให้นึกถึง แต่ทว่าทั้งคาแรกเตอร์ใน Breaking Bad กับ Better Call Saul ถ่ายทอดออกมาได้ดีถึงดีมากจริงๆ และหากพูดถึงความสมจริงของเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาแล้วก็ยังทำได้ดีและวิธีการเล่าก็น่าเชื่อถือจนเชื่อได้ว่ามันเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ ได้
สิ่งที่เห็นใน Primal Fear แล้วมาเห็นต่อใน Better Call Saul และ Breaking Bad
ใน Primal Fear ระหว่างที่พระเอกมาร์ติน เวล คุยต่อรองอ้อมๆ กับทนายฝั่งอัยการเจเน็ต เวนาเบิ้ลนั้น มีบทนึงมาร์ตินเอ่ยกับเจเน็ตประมาณว่า “ขอโน้มน้าวเพียงแค่ลูกขุนเพียงคนเดียวให้เชื่อได้ก็พอแล้ว และหากลูกขุนมองหน้าอันซื่อๆของแอรอนแล้วล่ะก็ คงโน้มน้าวได้สำเร็จแน่ๆ”
ส่วนใน Better Call Saul ตอน Saul Gone นั้น เราจะได้เห็นซอล กู๊ดแมนต่อรองกับผู้ช่วยอัยการสหรัฐฯ(Assistant United States Attorney) ซอลก็ต่อรองและพูดไปเหมือนกันว่า “ขอแค่ลูกขุนเพียงคนเดียวเพื่อเชื่อคำให้การจากเค้า ก็เพียงพอแล้ว”
จะเห็นว่าจากทั้งสองเรื่องเหมือนกันตรงที่จะโน้มน้าวลูกขุน และหวังแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากการใต่สวนในสหรัฐนั้นใช้ระบบลูกขุนที่ถูกสุ่มมาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หากโน้มน้าวได้สำเร็จแค่คนนึง เสียงก็ไม่เป็นเอกฉันท์ อาจทำให้ไม่มีคำตัดสินก็ได้ เป็นกลยุทธ์ที่มาร์ตินและซอลเลือกใช้เหมือนกัน เพราะมั่นใจในความสามารถการโน้มน้าวของตัวเองว่าทำได้
สิ่งถัดไปที่เห็นคือ คาแรกเตอร์ของ เจเน็ต เวนาเบิ้ล กับ คิม แว๊กซ์เลอร์นั้น แอบรู้สึกว่าเหมือนถอดแบบความฉลาดหลักแหลมและดูเนี๊ยบออกมาจากสาวสวยได้เหมือนกันอย่างบอกไม่ถูก
และสิ่งสุดท้ายทนายจากทั้งสองเรื่อง ต้องมีผู้ช่วยมือฉมัง ถนัดในการทำเรื่องนอกรูปแบบเพื่อเป้าหมาย ใน Primal Fear เราจะได้เห็นคาแรกเตอร์ “กู๊ดแมน” อดีตตำรวจผิวสี ใช้การสืบสวนแบบใต้ดิน ลักลอบบุกรุก เหมือนที่เราเห็น “ไมค์ เออแมนเทราต์” ใน Breaking Bad แล Better Call Saul นั่นเลย
พอเห็นสิ่งเหล่านี้ก็แอบเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ตัวละครเหล่านี้และเนื้อเรื่องบางจุดก็อาศัยการพัฒนาจากเรื่องๆ อื่นมา และเป็นการพัฒนาที่ดูลงตัวและสร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้เป็นที่จดจำได้เหมือนกัน
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่ถ้าเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ