Skip to content

[รีวิว] Platoon (1986)

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

Platoon (1986) เป็นภาพยนตร์สงครามที่เขียนและกำกับโดย โอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone) ซึ่งสร้างจากประสบการณ์ของตัวเองจากการไปรบในสงครามเวียดนาม ภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาติดตามคริส เทย์เลอร์ (ชาร์ลี ชีน) นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ดรอปเรียนเพื่ออาสามารบในปี 1967 ผู้ที่ดูไร้เดียงสาและเปี่ยมไปด้วยอุดมคติ และในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายของสงคราม เมื่อได้เห็นความโหดร้ายที่ทั้งสองฝ่ายก่อขึ้น ประเด็นขัดแย้งทางศีลธรรมที่เพื่อนๆของเขาต้องเผชิญ และความขัดแย้งภายในระหว่างจ่าที่คุมกำลังคือจ่าสิบเอก บาร์นส์ (ทอม เบเรงเกอร์) และเอไลแอส (วิลเล็ม เดโฟ) ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในการถ่ายทอดภาพสงครามเวียดนามที่ดีที่สุดและสมจริงที่สุด เนื่องจากเป็นการแสดงสงครามจากมุมมองของทหารราบที่มักสับสน หวาดกลัว และท้อแท้กับสิ่งที่พวกเขาเห็นและยังต้องกระทำมันอยู่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ยกย่องสงครามหรือการเข้าข้างฝ่ายเดียว แต่เป็นการเปิดเผยความโหดร้าย ความไร้ประโยชน์ และความคลุมเครือ ยังพาสำรวจธีมของความไร้เดียงสา การทุจริต ความภักดี การหักหลัง และการไถ่บาป ขณะที่เราจะเริ่มเห็นคริส เทย์เลอร์ผ่านการเปลี่ยนแปลงจากมือใหม่ไร้เดียงสาเป็นทหารผ่านศึกที่แข็งกร้าวขึ้น

ตัวละครหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ:

คริส เทย์เลอร์: ตัวเอกและผู้บรรยายของภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเป็นนักศึกษาวิทยาลัยชนชั้นกลางที่ดรอปเรียนเข้ามาเป็นอาสาสมัครในสงครามด้วยความรู้สึกรักชาติและความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งพลทหารส่วนใหญ่นั้นไม่เกณฑ์มาก็เป็นกลุ่มคนจนที่ไม่มีอนาคตในประเทศเท่าไหร่ ในตอนแรกเขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีและเพ้อฝัน แต่ในไม่ช้าก็กลายเป็นคนไม่แยแสและเหยียดหยามเมื่อเขาได้สัมผัสกับความน่าสะพรึงกลัวของสงคราม เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าระหว่างแนวคิดการทำสงครามของจ่าสองคน บาร์นส์และเอไลแอส ซึ่งมีอิทธิพลต่อมุมมองและการกระทำของเขา ในที่สุดเขาก็สูญเสียความไร้เดียงสาอันนั้นไปและกลายเป็นผู้รอดชีวิต

– จ่า บาร์นส์: ตัวละครเทาๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเป็นจ่าที่มีสไตล์แข็งกร้าวและดูไร้ความปรานี เคยได้รับบาดเจ็บหลายครั้งในสงคราม และกลายเป็นคนเหยียดหยามคนที่ด้อยกว่าและมีความขมขื่นอยู่ในใจ เขาเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะชนะสงครามได้คือต้องโหดเหี้ยมยิ่งกว่าศัตรู และเขาไม่ลังเลที่จะฆ่าใครก็ตามที่ขวางทางเขา รวมถึงพลเรือนและคนของเขาเอง เขาเป็นตัวแทนของด้านมืดของมนุษย์ในสงคราม

– จ่า เอไลแอส: จ่าที่มีความเมตตาและมีเสน่ห์ ซึ่งมีวิธีการทำสงครามที่มีมนุษยธรรมมากกว่า เขาดูแลลูกน้องด้วยความเห็นใจและพยายามปกป้องทหารใหม่จากอันตราย นอกจากนี้เขายังพยายามหลีกหนีจากความเป็นจริงของสงครามด้วยยาเสพติดและดนตรี เขาเป็นตัวแทนของด้านสว่างของธรรมชาติของมนุษย์ในสงคราม

– จ่า โอนีล: จ่าที่มีความขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว ทำตัวประจบประแจงที่ภักดีต่อจ่าบาร์นส์และไม่ชอบจ่าเอไลแอส เขามักจะหลีกเลี่ยงหน้าที่และให้ความปลอดภัยของตัวเองอยู่เหนือคนของเขา นอกจากนี้เขายังทุจริตและละโมบในขณะที่เขาขโมยของจากความตายและขายยาให้กับคนของเขา

– ผู้หมวดวูล์ฟ: นายร้อยอายุน้อยและไม่มีประสบการณ์ แต่ต้องมารับผิดชอบทหารหมวดนี้ เขามักถูกครอบงำโดยบาร์นส์ ด้วยความน้อยประสบการณ์ในการปกครองคน ทำให้เขาไม่รู้ถึงความขัดแย้งระหว่างบาร์นส์กับเอไลแอส เลยไม่สามารถป้องกันการเผชิญหน้ากันได้ รวมถึงขาดความเคารพและได้ใจจากผู้ใต้บังคับบัญชา

ความขัดแย้งภายในทั้งๆ ที่มีศัตรูคนเดียวกัน

ความขัดแย้งระหว่างบาร์นส์และเอไลแอสในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลมาจากบุคลิก อุดมการณ์ และวิธีการทำสงครามที่ต่างกัน บาร์นส์เป็นผู้นำที่ชอบเยาะเย้ยถากถางและไร้ความปรานีซึ่งเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะชนะสงครามได้คือต้องโหดเหี้ยมยิ่งกว่าศัตรู และเป็นคนที่ไม่สนใจนัยยะทางศีลธรรมของการกระทำของเขา เอไลแอสนั้นเป็นผู้นำที่มีความเมตตาและมีวิธีการทำสงครามที่มีมนุษยธรรมมากกว่า และผู้ที่พยายามปกป้องคนของเขาและพลเรือนจากอันตราย ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อบาร์นส์สังหารพลเรือนในหมู่บ้าน และพยายามที่สังหารเด็กหญิงนั้น เป็นจุดเดือดให้เอไลแอสนั้นใช้กำลังกับบาร์นส์ ซีนในหมู่บ้านนี้นับว่าเป็นซีนที่ดีที่สุดของเรื่อง ให้ความรู้สึกและความคิดที่หลากหลาย รวมถึงเหล่านักแสดงแม้กระทั่งตัวประกอบถ่ายทอดอารมณ์ความโหดร้ายของสงครามออกมาได้อย่างดี

และความขัดแย้งนี้เองทำให้เกิดการล้างแค้นของบาร์นส์แอบยิงเอไลแอส และโบ้ยความผิดไปให้ศัตรู เทย์เลอร์ซึ่งรู้สึกได้ว่าบาร์นส์นั้นฆาตกรจ่าเอไลแอส เมื่อเผชิญหน้ากับบาร์นส์และเปิดเผยอาชญากรรมของเขาต่อเหล่าทหารในกอง สุดท้ายความขัดแย้งจบลงด้วยเทย์เลอร์ฆ่าบาร์นส์เพื่อล้างแค้นให้ความยุติธรรม

งานสร้างด้วยต้นทุนไม่สูงมาก

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในฟิลิปปินส์ด้วยงบประมาณเพียง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ โอลิเวอร์ สโตนใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหาร อาวุธ เครื่องแบบ และเฮลิคอปเตอร์จริงๆ เพื่อสร้างความสมจริงที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากนี้เขายังจ้างที่ปรึกษาทางทหารเพื่อฝึกฝนนักแสดงและดูแลฉากการต่อสู้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ของสโตนในเวียดนาม เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เช่น Apocalypse Now (1979) และ The Deer Hunter (1978)

เมื่อออกฉายในเดือนธันวาคม 1986(2529) ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ (รายได้รวมทั่วโลก $138,545,632) ได้รับรางวัลออสการ์สี่รางวัลจากการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมดแปดรางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม(Best Picture), ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Director),บันทึกเสียงยอดเยี่ยม(Best Sound Mixing) และ ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Film Editing) นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสามรางวัลจากการเสนอชื่อสี่ครั้ง ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – ดราม่า ผู้กำกับยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA หกรางวัล โดยชนะสองรางวัลสำหรับการตัดต่อยอดเยี่ยมและเสียงประกอบยอดเยี่ยม

สรุปสุดท้าย หนังเรื่องนี้เคยดูเมื่อตอนเป็นเด็กมากในตอนนั้นทำให้ไม่เคยเข้าใจประเด็นหลักของเรื่อง แต่เมื่อโตขึ้นก็พบความลุ่มลึกของเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นจริงของสงคราม โดยผ่านมุมมองของทหารธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางศีลธรรมระหว่างผู้นำภายในหมวดของเขาเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังตั้งคำถามถึงความหมายและจุดประสงค์ของสงคราม ตลอดจนผลกระทบที่มีต่อธรรมชาติของมนุษย์ออกมาได้อย่างดี

1 thought on “[รีวิว] Platoon (1986)”

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *