Skip to content

[รีวิว] Rebel Ridge – เรเบลริดจ์: ผ่าเมืองอยุติธรรม (2024)

เวลาที่ใช้อ่าน : < 1 นาที

Rebel Ridge ชื่อไทย เรเบลริดจ์: ผ่าเมืองอยุติธรรม ตั้งใจสร้างเป็นหนังบู๊เสียดสีสังคมในชนบทอเมริกา แต่ความทะเยอทะยานนั้นกลับทำให้หนังสะดุดและไปไม่ถึงจุดที่ควรจะดีกว่านี้ ผู้กำกับ Jeremy Saulnier พยายามนำเสนอเรื่องราวที่เจาะลึกปัญหาคอร์รัปชันและการแก้แค้น ผ่านตัวละครของ “เทอร์รี่” (Aaron Pierre) อดีตนาวิกโยธินที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ฉ้อฉล

แม้จะพยายามสำรวจประเด็นทางสังคมที่ซับซ้อน แต่จังหวะการเล่าเรื่องและโครงสร้างบทบางช่วงกลับทำให้ประเด็นสำคัญเลือนลาง หนังจึงไม่สามารถสื่อสารข้อความได้อย่างชัดเจนเท่าที่ควร ทำให้ “Rebel Ridge” เป็นผลงานที่น่าสนใจแต่ยังไม่สมบูรณ์แบบ มีทั้งช่วงที่น่าติดตามและช่วงที่ชวนให้สับสนปนปนกันไป

แอรอน ปิแอร์ โชว์ฝีมือการแสดงได้อย่างน่าประทับใจ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างเข้มข้นและลึกซึ้ง แต่ถึงเขาจะแสดงได้ดีแค่ไหน บทหนังก็ยังไม่สามารถสร้างความสมดุลระหว่างฉากบู๊สุดมันส์กับเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารได้ มันเป็นในทางที่เนิบๆ (Slow Burn) ถ้าคนคาดหวังการบู๊ระห่ำอาจจะผิดหวัง แต่ถ้าคนชอบแนวๆ ค่อยๆ ปั้นอารมณ์ก็คิดว่าน่าจะพอถูกใจบ้าง

ส่วนนักแสดงสมทบแม้จะมีฝีมือ แต่กลับไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มศักยภาพ ส่งผลให้ แอรอน ปิแอร์ ต้องแบกรับภาระการดำเนินเรื่องและอารมณ์ของหนังไว้แทบทั้งหมด ทำให้ “Rebel Ridge” กลายเป็นหนังที่พึ่งพาการแสดงของพระเอกมากเกินไป โดยที่องค์ประกอบอื่นๆ ไม่ได้ช่วยเสริมให้เรื่องราวสมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น

ในแง่ของงงานภาพแม้ไม่ได้โดดเด่นแต่ก็ทำออกมาได้น่าประทับใจ การถ่ายทำสามารถนำเสนอภูมิประเทศทุรกันดาลได้อย่างงดงามและดูสมจริง ที่เรามักจะไม่ค่อยได้เห็นในภาพยนตร์อเมริกันมากนัก การเซ็ตฉากหลังที่เข้ากับธีมความเสื่อมโทรมและความขัดแย้งในเรื่องได้อย่างลงตัว

แต่การเปลี่ยนโทนสีระหว่างฉากแอ็กชั่นกับฉากเนิบๆ บางครั้งดูไม่กลมกลืน ทำให้เรื่องราวขาดความต่อเนื่อง ความพยายามในการสร้างอารมณ์ที่แตกต่างผ่านการใช้สีสันจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ส่งผลให้ภาพรวมของหนังดูสะดุดและไม่ราบรื่นในบางช่วง แม้จะมีภาพที่สวยงาม แต่วิธีการนำเสนอยังขาดความสอดคล้องที่จะช่วยเสริมการเล่าเรื่องให้มีพลังมากขึ้น

หลังจากดู “Rebel Ridge” จบแล้ว แอบทำให้นึกถึง “Rambo: First Blood (1982)” อย่างเสียมิได้ ซึ่งทั้งสองเรื่องเล่าเรื่องทหารผ่านศึกที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจและต่อสู้กับความอยุติธรรมในสังคม แต่ “First Blood” ดูจะจับประเด็นหลักได้ชัดเจนกว่า ขณะที่ “Rebel Ridge” พยายามขยายขอบเขตเนื้อหา จนบางครั้งดูเหมือนจะทำเกินตัวจนหาทางลงไม่ได้ และการตัดสินใจในตอนจบรู้สึกรีบหวดจนเกินไป

แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่ Rebel Ridge ก็ยังเป็นหนังที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบหนังแอ็กชั่นระทึกขวัญที่แฝงข้อคิดทางสังคม แต่ต้องยอมรับว่ามันยังขาดความคมชัดและพลังที่มากพอจะกระแทกใจเมื่อเทียบกับหนังแนวเดียวกันในอดีต แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังถือเป็นตัวเลือกที่น่าชมสำหรับคนที่ชอบหนังแนวนี้ดูได้แบบไม่รู้สึกเสียดายเวลาหรอกครับ

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *