Skip to content

[รีวิว] Into the Wild : เข้าป่าหาชีวิต (2007)

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

Into the Wild (2007) ชื่อไทย “เข้าป่าหาชีวิต” ผลงานของฌอน เพนน์ เป็นภาพยนตร์ที่สะเทือนอารมณ์และได้รับความสนใจจากผู้ชมพอสมควร โดยบอกเล่าเรื่องราวจริงของคริสโตเฟอร์ แม็คแคนด์เลสส์ ชายหนุ่มผู้ละทิ้งชีวิตอันสุขสบายเพื่อแสวงหาความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับธรรมชาติ และท้ายที่สุดก็คือตัวเขาเอง ภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากหนังสือสารคดีของจอน คราเคาเออร์ โดยเล่าถึงการเดินทางของคริสโตเฟอร์ข้ามป่าดงดิบของอเมริกาและการต่อสู้ภายในจิตใจของเขากับความคาดหวังของสังคมยุคใหม่ ซึ่งมาถึงขั้นสุดด้วยการโดดเดี่ยวตัวเองอย่างน่าเศร้าของเขาในป่าดงดิบของอะแลสกา

หัวใจสำคัญของ Into the Wild คือการปฏิเสธลัทธิวัตถุนิยมและบรรทัดฐานทางสังคมของคริสโตเฟอร์ ซึ่งรับบทโดยเอมีล เฮิร์ช คริสโตเฟอร์เป็นคนที่มีอุดมคติและมุ่งมั่นที่จะหลีกหนีจากข้อจำกัดของการเลี้ยงดูแบบชนชั้นกลางที่ค่อนข้างไปทางสูงในอเมริกา การตัดสินใจทิ้งครอบครัว เพื่อนฝูง และอนาคตของคริสโตเฟอร์ไม่ใช่การกระทำกบฏโดยอารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นการตัดสินใจทางปรัชญาที่หยั่งรากลึก ถูกหล่อหลอมด้วยความผิดหวังที่มีต่อโลกที่อยู่รอบตัวเขา อย่างไรก็ตาม การเดินทางของคริสโตเฟอร์ไม่ได้มีแค่ทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทางจิตใจด้วย เนื่องจากเขาต้องต่อสู้กับความขัดแย้งภายในจิตใจที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่ถูกที่ควร

สิ่งหนึ่งที่น่าดึงดูดใจที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้คือการโต้ตอบระหว่างคริสโตเฟอร์กับบุคคลใจดีต่างๆ ที่เขาพบระหว่างทาง แต่ละคนเป็นตัวแทนของโอกาสในการเชื่อมโยงกับสังคม แต่คริสโตเฟอร์กลับห่างเหินจากคนเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้กระทั่งกับคนที่แสดงความรักจริงใจต่อเขา ตั้งแต่แจนและเรนีย์ (รับบทโดยแคเธอรีน คีเนอร์และไบรอัน เดียร์เกอร์) คู่สามีภรรยาสูงอายุที่เสนอเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ให้เขา ไปจนถึงรอน ฟรานซ์ (ฮาล โฮลบรูค) ชายชราที่ต้องการรับเขาเป็นหลานชาย คริสโตเฟอร์ตอบสนองด้วยความชื่นชมและการแยกตัวออกจากคนเหล่านั้น ความสัมพันธ์เหล่านี้ทำให้ผู้ชมตั้งคำถามว่าทำไมเขาจึงปฏิเสธการดูแลและความเมตตากรุณาจากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ซ้ำร้ายเส้นทางของเขาเองกลับนำไปสู่ความโดดเดี่ยวที่มากขึ้นไปอีก

หากลองมองในมุมจิตวิทยา พฤติกรรมของคริสโตเฟอร์สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจในความใกล้ชิดที่ฝังรากลึกและบาดแผลทางครอบครัวที่ยังไม่ได้รับการแก้ปมดังกล่าว ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับพ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อของเขา เป็นแรงผลักดันเบื้องหลังการเนรเทศตนเอง คริสมองโลกผ่านเลนส์ที่มีความผิดปกติในครอบครัวของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยด้วยความลับ ความห่างเหินทางอารมณ์ และการควบคุม และเมื่อปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ เขาจึงปฏิเสธทุกสิ่งที่สังคมเป็น บาดแผลทางใจนี้กลายเป็นตัวกรองที่เขาใช้มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ โดยมักจะเปรียบเทียบความใกล้ชิดกับความเปราะบางและการถูกกักขัง

แม้ว่าอุดมคติของคริสโตเฟอร์เกี่ยวกับความเป็นอิสระและการพึ่งพาตนเองจะมีเจตนาที่ดีกับตัวเองก็ตาม แต่ความปรารถนาที่จะพึ่งพาตนเองเกิดจากความกลัวการถูกทรยศหรือการสูญเสีย คริสโตเฟอร์ดูเหมือนจะเชื่อว่าความสุขที่แท้จริงสามารถบรรลุได้ด้วยการอยู่ตามลำพังเท่านั้น ห่างไกลจากความซับซ้อนและความผิดหวังในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา

อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้วิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาของคริสโตเฟอร์ แม็คแคนด์เลสส์อย่างแยบยล เมื่อการเดินทางของเขาค่อยๆ คลี่คลายลง ก็เห็นได้ชัดว่าการแสวงหาอิสรภาพอย่างแท้จริงของเขามีขีดจำกัดอยู่เหมือนกัน การเปิดเผยครั้งสุดท้ายของเขาซึ่งเขียนไว้ที่ขอบหนังสือของเขาระบุว่า “ความสุขมีความหมายต่อเมื่อได้แบ่งปัน” (Happiness is only real when shared) คำกล่าวนี้เน้นย้ำถึงความจริงทางจิตวิทยาที่สำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือ แม้ว่าความเป็นอิสระจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเข้าสังคม และความสมบูรณ์มักเกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงที่มีความหมายกับผู้อื่น ชะตากรรมอันน่าเศร้าของคริสทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่าการปฏิเสธสังคมแม้ว่าบางครั้งจะมีเหตุผล แต่ก็อาจนำไปสู่การแยกตัวและความทุกข์ที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดได้เช่นกัน

แต่โดยสรุปแล้ว Into the Wild เป็นภาพยนตร์ที่มีความงดงามและอารมณ์ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ทิ้งร่องรอยแห่งความประทับใจด้วยการแสดงที่ทรงพลัง บทภาพยนตร์ที่สมจริง และความสัมพันธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ภาพยนตร์เรื่องนี้กระตุ้นต่อมอารมณ์ที่ลึกซึ้งออกมา เรียกน้ำตาและสะท้อนความคิดโดยไม่รู้สึกว่าเป็นการยัดเยียดทางความคิด โดยเฉพาะการถ่ายทอดความสัมพันธ์ของมนุษย์ตลอดการเดินทางของคริส ถ่ายทอดทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของเรื่องราวได้อย่างครบถ้วน ด้วยการแสดงที่โดดเด่นและเพลงประกอบที่ผสมผสานอย่างลงตัว ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งจนดูจบแล้วนำไปคิดต่อได้กับเรื่องราวของชีวิตได้เป็นอย่างดี

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *