Skip to content

[รีวิว] The Power of the Dog (2021) : ชื่อเรื่องจากพระคำภีร์ที่สปอยล์ตั้งแต่ชื่อเรื่อง

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

The Power of the Dog กำกับโดยเจน แคมเปียน เป็นภาพยนตร์ดราม่าเชิงจิตวิทยาที่ค่อยๆ ดำเนินเรื่องอย่างช้าๆ โดยมีฉากหลังเป็นมลรัฐมอนทานาในช่วงทศวรรษ 1920 เรื่องราวติดตามชีวิตของฟิล เบอร์แบงก์ (รับบทโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) ชายเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ผู้มีเสน่ห์แต่ดูมีความเป็นชายที่แข็งกร้าว ชีวิตของเขาเริ่มซับซ้อนมากขึ้นเมื่อภรรยาใหม่ของน้องชาย โรส (รับบทโดยเคิร์สเทน ดันสต์) และลูกชายของเธอ ปีเตอร์ (รับบทโดยโคดี สมิท-แมคฟี) ย้ายเข้ามาอยู่ในครอบครัว ขณะที่ความตึงเครียดค่อยๆ ก่อตัว ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจประเด็นเกี่ยวกับอำนาจ ความเป็นชาย การเก็บกด และความละเอียดอ่อนในพฤติกรรมของมนุษย์

สำหรับผู้ชมที่คาดหวังจะได้ชมภาพยนตร์แนวเวสเทิร์นแบบดั้งเดิม อาจรู้สึกว่าเรื่องราวดำเนินไปอย่างเชื่องช้าหรือเรียบง่ายจนเหมือนไม่มีอะไรจนเกินไป เพราะเรื่องราวส่วนใหญ่ถูกสื่อสารผ่านความหมายที่แอบแฝงไว้ บรรยากาศที่ตึงเครียด และปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร มากกว่าฉากแอ็คชั่น และภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราวเชิงจิตวิทยา โดยผู้กำกับเจน แคมเปียนใช้ภาพทิวทัศน์อันกว้างใหญ่เพื่อตอกย้ำความโดดเดี่ยวทางอารมณ์และการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวละคร

เหตุใดภาพยนตร์เรื่องนี้จึงได้รับการยอมรับมากมาย?

ภาพยนตร์เรื่องนี้คว้ารางวัลถึง 289 รางวัล จากการเสนอชื่อเข้าชิง 320 รางวัล รวมถึงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดส์หลายสาขา อันเนื่องมาจากความลึกซึ้งทั้งในด้านศิลปะและแก่นเรื่อง ดังต่อไปนี้:

  • การกำกับและการถ่ายภาพ: การกำกับของเจน แคมเปียนมีความพิถีพิถัน โดยเน้นการเล่าเรื่องผ่านภาพ ภาพยนตร์ถ่ายทำอย่างงดงามโดยผู้กำกับภาพ อารี เวกเนอร์ ที่สามารถถ่ายทอดความงามอันดิบเถื่อนและความโดดเดี่ยวของภูมิประเทศในมอนทานา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความว่างเปล่าทางอารมณ์ของตัวละคร
  • การแสดง: การแสดงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่น โดยเฉพาะการแสดงของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ในบทฟิล ตัวละครของเขามีหลายมิติและอารมณ์แปรปรวน เปลี่ยนจากน่าหวาดกลัวไปสู่ความเปราะบาง ทำให้ผู้ชมทั้งเกลียดชังและสงสารในเวลาเดียวกัน ดันสต์ สมิท-แมคฟี และเจสซี เพลมอนส์ (ในบทจอร์จ เบอร์แบงก์) ต่างก็ส่งมอบการแสดงที่ละเอียดอ่อนและทรงพลัง
  • แก่นเรื่องที่ซับซ้อน: การสำรวจประเด็นเรื่องความเป็นชายที่เป็นมลพิษแก่คนรอบข้าง ความปรารถนาที่ถูกเก็บกด และพลวัตของอำนาจ สะท้อนให้เห็นในหลายระดับ ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เล่าทุกอย่างให้ผู้ชมเข้าใจตรงๆ แต่ชวนให้ขบคิดต่อไปแม้จบเครดิตแล้ว นักวิจารณ์และคณะกรรมการตัดสินรางวัลมักชื่นชอบภาพยนตร์ที่กระตุ้นความคิดและมีความหมายที่ลึกซึ้งหลายชั้น
  • ความตึงเครียดและบรรยากาศที่แฝงอยู่: จังหวะการเล่าเรื่องและบรรยากาศของภาพยนตร์สร้างความตึงเครียดที่ค่อยๆ ก่อตัวจนนำไปสู่บทสรุปที่สะเทือนใจอย่างเงียบๆ แม้จะไม่มีฉากระเบิดอารมณ์เหมือนหนังดราม่าทั่วไป แต่ความตึงเครียดระหว่างตัวละคร โดยเฉพาะระหว่างฟิลและปีเตอร์ ยังคงคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา

สปอยล์และคำอธิบายตอนจบ

ในตอนจบของภาพยนตร์ ธรรมชาติที่เงียบขรึมและดูเปราะบางของปีเตอร์ ถูกเปิดเผยว่าเป็นเพียงฉากบังหน้าสำหรับบางสิ่งที่แยบยลกว่านั้นมาก ตลอดทั้งเรื่องฟิลใช้อำนาจครอบงำผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะโรสและปีเตอร์ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของเขากับปีเตอร์กลับซับซ้อนมากขึ้น ฟิลที่แต่เดิมโหดร้ายกับเด็กหนุ่มกลับรับเขาเป็นศิษย์ ดูเหมือนพยายามจะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่ “เป็นชาย” มากขึ้น คล้ายกับที่บรองโก เฮนรี อดีตพี่เลี้ยงของฟิลเคยทำกับฟิล

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อปีเตอร์ค้นพบความลับของฟิล — ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ความเป็นชายที่เกินเลยนั้น ซ่อนความรู้สึกรักร่วมเพศที่ถูกเก็บกดไว้ ดังที่สะท้อนผ่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงบรองโก เฮนรี ปีเตอร์มองเห็นความเปราะบางของฟิลและใช้มันให้เป็นประโยชน์

การเปิดเผยในตอนจบ แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ก็ชวนขนลุกเช่นกัน ปีเตอร์วางแผนการตายของฟิลด้วยการจงใจแพร่เชื้อแอนแทรกซ์ให้เขา ก่อนหน้านี้ในภาพยนตร์ เราได้เห็นปีเตอร์ศึกษาวิชาแพทย์ รวมถึงหนังสือเกี่ยวกับโรคต่างๆ เขาจับต้องหนังวัวที่เป็นโรค โดยรู้ว่าฟิลจะใช้มันถักเชือกที่เป็นของขวัญสำหรับปีเตอร์ ฟิลซึ่งมีแผลเปิดที่มืออยู่แล้ว จึงได้รับเชื้อแอนแทรกซ์ นำไปสู่การเสียชีวิตของเขา

ตอนจบนี้ทำให้เราต้องมองบทบาทของปีเตอร์ในภาพยนตร์ใหม่ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่อ่อนแอและเฉยเมยอย่างที่ปรากฏภายนอก แต่กลับเป็นคนที่คำนวณทุกอย่าง แม้กระทั่งความโหดเหี้ยมในความมุ่งมั่นที่จะปกป้องแม่ของเขาจากความโหดร้ายของฟิล ภาพยนตร์ค่อยๆ บ่งชี้ว่าการกระทำของปีเตอร์เป็นไปอย่างจงใจ ซึ่งนำมาสู่คำถามที่ซับซ้อนเกี่ยวกับศีลธรรม พลวัตของอำนาจ และขีดจำกัดที่มนุษย์จะก้าวข้ามเพื่อปกป้องคนที่พวกเขารัก

อำนาจที่ซ่อนเร้นใน “The Power of the Dog”

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทเรียนชั้นเยี่ยมในเรื่องความหมายแฝง โดยใช้แก่นเรื่องและสัญลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนเพื่อสำรวจความขัดแย้งที่ลึกซึ้งในมนุษย์ ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์ประเด็นสำคัญ:

  1. ความปรารถนาที่ถูกเก็บกด: สายสัมพันธ์อันเข้มข้นระหว่างฟิลกับบรองโก เฮนรี บ่งชี้ถึงความรู้สึกโรแมนติกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเขาเก็บกดไว้ นำไปสู่ความเป็นชายที่ส่งผลร้ายและความโหดร้ายต่อผู้อื่น
  2. การหลอกใช้ของปีเตอร์: ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนแอของปีเตอร์นั้น เขาแอบซ่อนจิตใจแห่งความล้างแค้นที่คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้ว การสังเกตจุดอ่อนของฟิลอย่างระมัดระวังทำให้เขาสามารถวางแผนการล่มสลายของฟิลได้อย่างเงียบๆ
  3. ความเป็นชายกับความเปราะบาง: ภาพยนตร์แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างแนวคิดดั้งเดิมของความเป็นชายกับความเปราะบาง ฟิลแสดงออกถึงความแข็งแกร่งแบบดิบเถื่อน แต่ซ่อนความเปราะบางทางอารมณ์ไว้ ดังที่สะท้อนผ่านการแช่ตัวในโคลนอย่างเป็นส่วนตัวของเขา
  4. พลวัตของอำนาจ: ตั้งแต่การประชันระหว่างเปียโนกับแบนโจ ไปจนถึงการครอบงำของฟิลที่มีต่อโรสและปีเตอร์ พลวัตของอำนาจดำเนินไปอย่างแยบยล โดยตัวละครต่างใช้วิธีการทางจิตวิทยาในการแสดงการควบคุม
  5. สัญลักษณ์ของสัตว์: สัตว์ในภาพยนตร์แทนอันตรายที่ซ่อนอยู่ เช่น การที่ปีเตอร์จงใจใช้วัวที่เป็นโรคเพื่อให้ฟิลสัมผัสเชื้อแอนแทรกซ์ สะท้อนให้เห็นอำนาจที่เป็นอันตรายถึงชีวิตของการหลอกใช้อย่างเงียบๆ
  6. การอ้างอิงพระคัมภีร์: ชื่อเรื่องอ้างอิงถึงสดุดี บทที่ 22 ข้อที่ 20 “โปรดช่วยจิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้พ้นจากดาบ และช่วยชีวิตของข้าพระองค์จากฤทธิ์ของสุนัข” (Deliver my soul from the sword; my darling from the power of the dog) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังทำลายล้างที่มองไม่เห็น ในภาพยนตร์ สิ่งนี้สะท้อนถึงการต่อสู้ภายในและอารมณ์ที่ถูกเก็บกดซึ่งควบคุมชะตากรรมของตัวละคร

สุดท้าย…ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามสื่อถึงอะไร?

The Power of the Dog ลงลึกถึงธรรมชาติอันทำลายล้างของพฤติกรรมชายที่ไม่เข้าท่า การเก็บกด และความตึงเครียดระหว่างภาพลักษณ์ภายนอกกับความปรารถนาภายใน ความโหดร้ายของฟิลมีรากฐานมาจากความเกลียดชังตัวเองและการเก็บกดที่ฝังลึก ในขณะที่การกระทำอันแยบยลของปีเตอร์เผยให้เห็นอำนาจอีกรูปแบบหนึ่ง อำนาจที่ไม่ได้มาจากการแสดงความก้าวร้าวอย่างเปิดเผย แต่มาจากสติปัญญาและการหลอกใช้

ชื่อเรื่องเป็นการอ้างอิงถึงพระคัมภีร์ บ่งชี้ถึงอันตรายที่แฝงตัวอยู่ของแรงจูงใจภายใต้อารมณ์ที่ซ่อนเร้น แก่นแท้แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงอำนาจที่ผู้คนใช้ต่อกัน ไม่ว่าจะผ่านการครอบงำทางกายภาพ การหลอกใช้ทางจิตวิทยา หรือการควบคุมทางอารมณ์ มันท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเรื่องความแข็งแกร่งและความเป็นชาย แสดงให้เห็นว่าความเปราะบางสามารถเป็นได้ทั้งจุดอ่อนและอาวุธ

โดยสรุปแล้ว แม้ “The Power of the Dog” อาจดูเล่าเรื่องค่อนข้างเชื่องช้าสำหรับผู้ชมบางคน แต่เรื่องราวของมันเต็มไปด้วยความหมายแฝงและความหมายหลายชั้น การได้รับการยอมรับของภาพยนตร์มาจากความสามารถในการสำรวจอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อนของมนุษย์และโครงสร้างอำนาจในรูปแบบที่ละเอียดอ่อนและหลอกหลอน ตอนจบของภาพยนตร์ทิ้งความประทับใจที่ยาวนาน เผยให้เห็นภัยคุกคามที่เงียบงันที่อาจซ่อนอยู่ใต้ผิวนอกของตัวละครที่ดูเปราะบาง

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole