“วิมานหนาม” (The Paradise of Thorns) เป็นผลงานที่น่าประทับใจจากจอกว้างฟิล์มและ GDH ที่สามารถผสานจุดแข็งของละครไทยเข้ากับศิลปะการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว
แม้หลายคนจะมองละครไทยในแง่ลบว่าเต็มไปด้วยฉากตบตีและเนื้อเรื่องน้ำเน่า แต่ความจริงแล้วละครไทยมีจุดเด่นที่สำคัญคือความสามารถในการเขียนบทและสร้างบทสนทนาที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง ขณะที่หนังไทยหลายเรื่องกลับพลาดในจุดนี้
“วิมานหนาม” จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำจุดแข็งจากทั้งสองโลกมาผสมผสานกัน โดยรักษาพลังทางอารมณ์แบบละครไทยไว้ พร้อมกับนำเสนอผ่านงานภาพระดับภาพยนตร์ และเล่าเรื่องได้กระชับตั้งแต่ต้นจนจบ นับเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
เนื้อเรื่องย่อ
“วิมานหนาม” เล่าเรื่องราวของทองคำ (เจฟ ซาเตอร์) ผู้ทุ่มเทชีวิตและเงินทั้งก้อนเพื่อสร้างชีวิตคู่กับเสก (เต้ย พงศกร) บนที่ดินสวนทุเรียนที่พวกเขาร่วมกันพัฒนา แต่โชคร้ายที่เสกประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของแม่แสง (สีดา พัวพิมล) มารดาของเสกตามกฎหมาย
แม่แสงได้นำโหม๋ (อิงฟ้า วราหะ) ลูกสาวบุญธรรม และจิ่งนะ (เก่ง หฤษฎ์) น้องชายของโหม๋เข้ามาอยู่ในที่ดินผืนนี้ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างทองคำที่ต้องการทวงคืนสิ่งที่เขาลงแรงสร้าง กับโหม๋ที่ต้องปกป้องผลประโยชน์ของครอบครัวตน
เรื่องราวจึงพัฒนาเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินและสวนทุเรียน ท่ามกลางความไม่เท่าเทียมทางกฎหมายและสังคม
ต่อไปนี้อาจพบสปอยล์!!!!
การแสดงและการกำกับ
เรื่องนี้โดดเด่นด้วยการเล่าเรื่องที่กระชับ โดยใช้โลเคชั่นหลักเพียงบ้านและสวนทุเรียน ทำให้พลังของเรื่องต้องขับเคลื่อนด้วยบทและการแสดงเป็นหลัก ซึ่งนักแสดงหลักทั้งสามคน – เจฟ ซาเตอร์ (ทองคำ), อิงฟ้า วราหะ (โหม๋) และสีดา พัวพิมล (แม่แสง) – ต่างแสดงได้อย่างโดดเด่นสมกับเป็นตัวละครหลักที่แบกเรื่องราวทั้งหมดไว้
นักแสดงสมทบอย่างเก่ง หฤษฏ์ ในบทจิ่งนะ และเต้ย พงศกร ในบทเสก ก็สามารถส่งเสริมเรื่องราวได้อย่างกลมกลืน ผู้กำกับ “บอส” นฤเบศ กูโน แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการถ่ายทอดชีวิตของตัวละครชนบท พร้อมทั้งสอดแทรกประเด็นทางสังคมและเพศได้อย่างแนบเนียนและสมจริง
แม้จะมีข้อสังเกตเล็กน้อยเกี่ยวกับสำเนียงการพูดของเจฟที่ฟังดูเป็นคนเมืองเกินไปบ้าง แต่ก็สามารถอธิบายได้ด้วยภูมิหลังของตัวละครที่น่าจะมาจากเชียงใหม่ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพโดยรวมของภาพยนตร์มากนัก
การต่อสู้เพื่อสิทธิในวิมานหนาม
“วิมานหนาม” นำเสนอความขัดแย้งในมุมมองที่แตกต่างจากละครหรือภาพยนตร์ทั่วไป แทนที่จะเป็นการแย่งชิงมรดกของคนรวยในคฤหาสน์หรือบริษัทใหญ่ เรื่องนี้กลับสะท้อนความจริงของสังคมชนบทที่เราเห็นตามข่าวหรือชีวิตจริง ผ่านการดิ้นรนต่อสู้ของคนจนที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดของระบบกฎหมาย
ความโดดเด่นอีกประการคือการนำเสนอตัวละคร LGBTQ+ ในบริบทของสังคมชนบท ต่างจากภาพจำของซีรีส์วายไทยที่มักจะอยู่ในสังคมเมืองที่ทันสมัย การสร้างตัวละครที่เป็นคนงานในชนบทจึงเป็นการท้าทายภาพจำเดิมๆ ได้อย่างน่าสนใจ
ความขัดแย้งระหว่างทองคำและโหม๋ถูกถ่ายทอดผ่านภูมิหลังที่ซับซ้อนของทั้งคู่ โหม๋ถูกกดดันด้วยความยากจนและการถูกเสกหลอกใช้เพียงเพื่อหาคนดูแลแม่แสง ขณะที่แม่แสงเองก็เคยชินกับการได้รับการดูแลจนมองข้ามการเสียสละของโหม๋
ส่วนทองคำ ผู้มีความรู้และวิสัยทัศน์ในการพัฒนาสวนทุเรียน ก็ถูกเสกใช้ประโยชน์เช่นกัน แต่ห้าปีของการทุ่มเทแรงกายแรงใจร่วมกับเสกทำให้เขารู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ไม่ต่างจากคู่สมรสตามกฎหมาย แม้ในท้ายที่สุดจะเผยว่าเสกรักทองคำมากกว่าโหม๋ แต่ความเห็นแก่ตัวของเสกก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมครั้งนี้
ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งจากระบบกฎหมายและสังคม สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างในการคุ้มครองสิทธิของผู้คนในสังคมไทย
จุดด้อยของภาพยนตร์
แม้จะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างสรรค์ได้ดี แต่ก็มีข้อด้อยอยู่บ้างในสองประเด็น
ประเด็นแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับจิ่งนะที่ดูจะพัฒนาเร็วเกินไป แม้จะเข้าใจได้ว่าตัวละครจิ่งนะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นกุญแจไขปมต่างๆ ในเรื่อง แต่การเร่งความสัมพันธ์ก็ทำให้ขาดความสมจริงไปบ้าง
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือบทบาทของปลัดอำเภอ สามีใหม่ของโหม๋ ที่ถูกนำเสนออย่างรวบรัดเกินไป โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะนำไปสู่ฉากสำคัญในคืนวันแต่งงานซึ่งเป็นจุดคลี่คลายของเรื่อง การพัฒนาตัวละครนี้ที่มีมากขึ้นอาจช่วยให้จุดจบของเรื่องมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ข้อด้อยเหล่านี้ถือเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพโดยรวมของภาพยนตร์มากนักหรอกครับ
สรุปส่งท้าย
“วิมานหนาม” เป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานความเป็นละครไทยกับศิลปะการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยการแสดงที่สมจริงของนักแสดงนำทั้งสามและการกำกับที่เข้าใจชีวิตคนชนบทอย่างลึกซึ้ง แม้จะมีข้อด้อยเล็กน้อยในการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครบางคู่ แต่ภาพรวมของหนังก็สามารถสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ทั้งในแง่ของกฎหมายและการยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคมชนบท ผ่านการต่อสู้เพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีของตัวละครได้อย่างน่าประทับใจ ทำให้ “วิมานหนาม” เป็นมากกว่าหนังดราม่าทั่วไป แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคมที่มีคุณค่าและน่าจดจำที่เรื่องนึงในวงการภาพยนตร์ไทยเลยล่ะครับ
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ