ในยุคที่แฟรนไชส์ Transformers กลายเป็นสัญลักษณ์ของความอลังการและการเล่าเรื่องที่วุ่นวาย Bumblebee (2018) กลับเลือกเดินเส้นทางที่ไม่คาดคิด—ซึ่งเป็นสิ่งที่รอมานาน ภายใต้การกำกับของ Travis Knight (ผู้กำกับ Kubo and the Two Strings) ภาคก่อนเหตุการณ์/ภาคแยกนี้ได้ตัดความวุ่นวายของการปะทะกันระหว่างหุ่นเหล็กแบบเกินจำเป็นที่มักเห็นในผลงานของ Michael Bay ออกไป แล้วเลือกแนวทางที่เน้นตัวละครและความรู้สึกมากขึ้น ผลลัพธ์คืออะไร? ก็คือภาพยนตร์ที่ไม่เพียงแต่ฟื้นชีวิตให้กับแฟรนไชส์นี้ แต่ยังเป็นการแสดงความเคารพอย่างจริงใจต่อยุค 80 อันเป็นที่รักซึ่งเป็นจุดกำเนิดของหุ่นยนต์แปลงร่างเหล่านี้
ลดความเป็นเหล็ก เพิ่มความรู้สึกจากหัวใจ
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1987 Bumblebee ติดตามชีวิตของ Charlie Watson (รับบทโดย Hailee Steinfeld) วัยรุ่นสาวที่กำลังเผชิญกับการสูญเสียพ่อและชีวิตส่วนตัวในวัยเปลี่ยนผ่าน และเมื่อเธอบังเอิญพบกับรถ Volkswagen Beetle สีเหลืองที่ดูทรุดโทรม—โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเธอเพิ่งค้นพบนักรบผู้ยิ่งใหญ่จากดาวไซเบอร์ทรอน สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องราวความผูกพันที่สัมผัสใจ ซึ่งคล้ายคลึงกับ E.T. the Extra-Terrestrial ที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเอเลี่ยนเป็นแกนหลักของเรื่อง แทนที่จะเป็นการทำลายล้างทั้งเมืองไม่หยุดยั้ง เนื้อเรื่องเรียบง่ายแต่ดึงดูดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างน่าประทับใจ พิสูจน์ให้เห็นว่าภาพยนตร์ Transformers สามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องอาศัยฉากต่อสู้ CGI มากมายจนเกินไป
งานโปรดักชั่นและการกำกับ: ลมหายใจแห่งความสดชื่น
พื้นฐานด้านแอนิเมชันของ Travis Knight ช่วยเติมชีวิตให้กับ Bumblebee ในแง่มุมที่ภาพยนตร์ Transformers เรื่องก่อนๆ ไม่สามารถทำได้ ความใส่ใจของเขาต่อการแสดงออกทางสีหน้าและการเคลื่อนไหวทำให้ตัว Bumblebee รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครที่มีชีวิตจิตใจมากกว่าแค่การสร้างด้วย CGI อีกชิ้นหนึ่ง ฉากแอคชั่น แม้จะมีน้อยกว่าในเวอร์ชันของ Michael Bay แต่สะอาดตา จังหวะดี และที่สำคัญที่สุด—เข้าใจง่าย ไม่มีการเคลื่อนไหวกล้องที่ทำให้เวียนหัวหรือการพึ่งพาการตัดฉากเร็วๆ มากเกินไป ทำให้ผู้ชมสามารถชื่นชมฉากการต่อสู้ที่ออกแบบมาอย่างสวยงามได้จริงๆ
โทนภาพของหนังมีความสมจริงมากขึ้น โน้มเอียงไปทางโทนสีอบอุ่น เต็มไปด้วยความรู้สึกโหยหาอดีตที่เข้ากับฉากในยุค 1980s การใช้เทคนิคแบบ practical effects (เทคนิคพิเศษที่สร้างขึ้นจริงในกองถ่าย เช่น หุ่นจำลอง เอฟเฟคระเบิด หรือฉากที่สร้างขึ้นจริง ไม่ใช่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์) ในที่ที่เป็นไปได้ช่วยเพิ่มความรู้สึกจับต้องได้ซึ่งช่วยให้โลกในหนังดูสมจริงมากขึ้น—สิ่งที่ขาดหายไปอย่างน่าเสียดายในภาคก่อนๆ
จดหมายรักถึงยุคสมัยที่ผ่านไปแล้ว
สำหรับแฟนๆ ของยุค 1980s Bumblebee คือการเฉลิมฉลองแห่งความโหยหาอดีต ภาพยนตร์เรื่องนี้ยอมรับยุคสมัยของมันอย่างไม่ต้องขอโทษ ตั้งแต่รถคลาสสิค อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์วินเทจ ไปจนถึงการอ้างอิงวัฒนธรรมป๊อปที่จะทำให้คน Gen X และ Millennials รุ่นแรกๆ ยิ้มออก แต่จุดที่โดดเด่นจริงๆ คือเพลงประกอบ—ที่มีเพลงฮิตจาก The Smiths, A-ha, Steve Winwood และแน่นอน The Touch ของ Stan Bush เป็นการพยักหน้าให้กับ The Transformers: The Movie จากปี 1986 เพลงไม่ได้มีไว้แค่เพื่อความโหยหาอดีตเท่านั้น แต่มันมีบทบาทในการเล่าเรื่อง ช่วยให้ชาร์ลี และ Bumblebee สื่อสารกันได้ในรูปแบบที่เหนือกว่าคำพูด
การแสดง: Hailee Steinfeld แบกหนังเรื่องนี้ไว้
Hailee Steinfeld ส่งมอบการแสดงที่เหนือกว่านักแสดงนำในหนัง Transformers ก่อนหน้านี้มาก ต่างจากตัวเอกในหนังเก่าๆ ที่มักมีมิติเดียว ชาร์ลีได้รับการสร้างให้มีความลึก มีความดิ้นรน และการเติบโต ทำให้การเดินทางของเธอสั่นสะเทือนอารมณ์ เธอไม่ใช่แค่คนยืนดูนิ่งๆ ตอบสนองต่อความวุ่นวาย—เธอคือจุดยึดทางอารมณ์ของภาพยนตร์
สำหรับตัว Bumblebee เอง แม้จะเป็น CGI แต่เขาแผ่ความอบอุ่นและบุคลิกเฉพาะตัวออกมา การแสดงออกที่เงียบงัน ปฏิสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และช่วงเวลาของความเปราะบางทำให้เขารู้สึกเป็นมนุษย์มากกว่าตัวละครมนุษย์ส่วนใหญ่ในหนัง Transformers เรื่องก่อนๆ
John Cena ที่รับบทเป็น Agent Burns ให้ตัวละครปฏิปักษ์ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าตัวละครของเขาจะโน้มเอียงไปทางคลิเช่ของหนังแอคชั่นมากกว่า แต่เขาก็นำเสนอการผสมผสานระหว่างความเข้มข้นและอารมณ์ขันที่เพิ่มโทนที่เบากว่าโดยรวมของภาพยนตร์
การเปรียบเทียบกับแฟรนไชส์ก่อนหน้า
จุดที่ Bumblebee แตกต่างจากภาคก่อนๆ อย่างแท้จริงคือการรู้จักยับยั้งชั่งใจ ภาพยนตร์ของ Michael Bay—แม้จะน่าประทับใจทางด้านภาพ—แต่พึ่งพาเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนวุ่นวาย ฉากแอคชั่นมากเกินไป และบ่อยครั้งมีมุกตลกที่น่าสงสัย Bumblebee ตัดสิ่งเหล่านั้นออกไปทั้งหมด นำซีรีส์กลับไปสู่รากฐานดั้งเดิม การออกแบบหุ่นยนต์ Transformers หวนกลับไปสู่การ์ตูน G1 ต้นฉบับ ที่ทำให้แฟนๆ ตัวยงชื่นชอบ และภาพยนตร์ยังใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์แทนที่จะรีบเร่งไปสู่ฉากระเบิดถัดไป
ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่มีฉากแอคชั่น—ฉากบนดาวไซเบอร์ทรอนให้ภาพที่ชวนให้นึกถึงว่าหนังสงคราม Transformers ที่แท้จริงอาจเป็นอย่างไร—แต่มันไม่เคยบดบังเรื่องราวหลัก
ในตอนจบของ Bumblebee เชื่อมโยงไปยัง Transformers (2007) ได้อย่างแนบเนียน (แม้จะเป็นการรีบู๊ต เนื้อเรื่องคนละจักรวาลก็ตาม) หลังจากอำลาชาร์ลีด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง Bumblebee ก็แปลงร่างเป็น Camaro ที่คุ้นเคยของแซม วิทวิคกี้ และบัมเบิ้ลบีปรากฏตัวร่วมกับออพติมัส ไพรม์ ซึ่งมาถึงโลกแล้ว เป็นการบอกเป็นนัยถึงการรวมตัวกันของเหล่าออโต้บอทอย่างค่อยเป็นค่อยไปก่อนเหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่องแรก เป็นการเชื่อมโยงที่นุ่มนวลมากกว่าจะเป็นภาคก่อนหน้าโดยตรงของไมเคิล เบย์ เปิดโอกาสให้มีการตีความใหม่ของแฟรนไชส์ในอนาคต และยังไม่ชัวร์ว่ารถเต่าสีเหลืองที่บัมเบิ้ลบีไปโคลนมาในตอนต้นของภาคนี้ จะเป็นคันเดียวกันที่พ่อแซมในภาค 2007 พาไปซื้อด้วยหรือเปล่านะ
สรุปสุดท้าย: ทรานส์ฟอร์มเมอร์ที่มีจิตวิญญาณ
Bumblebee (2018) คือภาพยนตร์ที่แฟนๆ Transformers ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการ ภาพยนตร์เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแฟรนไชส์นี้สามารถเป็นมากกว่าแค่การระเบิดและการปะทะกันของหุ่นยนต์ยักษ์เท่านั้น แต่ยังมีทั้งความซาบซึ้ง อารมณ์ขัน และความเป็นมนุษย์อีกด้วย แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจไม่เป็นที่พอใจสำหรับผู้ที่คาดหวังฉากแอ็กชั่นที่ต่อเนื่องยาวนาน แต่ก็สามารถชดเชยความมีเสน่ห์และอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าเนื้อเรื่องจะเดาได้โดยง่ายไปหน่อยก็ตาม แต่ก็สามารถมอบความบันเทิงให้เต็มอิ่มแบบอารมณ์หนังยุค 80s นั่นแหละครับ

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ