เมื่อคืนดูยูทูปป๋าเต็ด “ชอบแผ่นนี้” แล้วพูดถึงอัลบั้มแรกของ The Doors นั่นทำให้รู้เพิ่มเติมว่าสมัยยุคจีไอทางภาคอีสาน (ถ้าจำไม่ผิดป๋าเต็ดคนชัยภูมิ) เพลง Light My Fire นั้นดังมากถึงขนาดชาวบ้านชาวช่องยังเปิดกันในท่ารถ บขส. ที่ชัยภูมิ และคิดว่าอิทธิพลอาจจะมาจาก “แหลม มอริสัน” ที่พวกจีไอยกย่องว่าเล่นคัฟเวอร์เพลง The Doors ได้เหมือนมากในยุคนั้น และยังแอบคิดว่าถ้าเป็นไปตามที่ป๋าเต็ดเล่า ดนตรีหมอลำลูกทุ่งก็น่าจะได้รับอิทธิพลจากวงไซเคเดลิกไปไม่น้อยเช่นกัน
และอัลบั้ม The Doors (1967) ก็เป็นอัลบั้มโปรดที่ฟังบ่อยเช่นกัน และ เพลงที่จะพูดถึงต่อไปนี้คือเพลง The End เพลงปิดท้ายในอัลบั้มนี้
คืนที่ Whisky a Go Go และ “The End” เวอร์ชั่นสุดขั้ว
ในช่วงปี 1966 The Doors เป็นวงประจำที่คลับ Whisky a Go Go ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมในลอสแอนเจลิสสำหรับวงร็อกหน้าใหม่ หลายคืนพวกเขาเล่นเพลง The End บ่อยๆ โดยที่เนื้อหาและการแสดงมักเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของ จิม มอร์ริสัน ในแต่ละคืน
คืนหนึ่ง จิม มอร์ริสันดื่มหนักและอาจอยู่ในอาการมึนเมาจากยาเสพติด ขณะที่วงกำลังบรรเลงเพลง The End เขาเริ่ม “อิมโพรไวส์” (ด้นสด) เนื้อร้อง โดยใส่เนื้อหาที่มืดหม่นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่เพลงพูดถึงการจากลา กลายเป็นบทกวีที่เล่าถึงการฆ่าบิดาและความปรารถนาในตัวมารดาตัวเอง ซึ่งเป็นแนวคิดที่มาจากทฤษฎีปมอิดิปัส (Oedipus Complex) ของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์
เนื้อเพลงท่อนนั้นทำให้ทั้งผู้ชมและเจ้าของคลับถึงกับช็อก เพราะมันถือเป็นประเด็นต้องห้ามในยุคนั้น จริงๆ แล้วคนในวงต่างก็อึ้งเช่นกันแต่ก็เล่นต่อไปตามแรงขับเคลื่อนของจิม มอร์ริสัน จนจบเพลงอย่างดุเดือด
หลังจากจบโชว์ เจ้าของคลับโมโหมาก และสั่งไล่ The Doors ออกจากการเป็นวงประจำไนท์คลับทันที
แม้ว่าการถูกไล่ออกจากคลับ Whisky a Go Go ดูเหมือนเป็นข่าวร้าย แต่มันกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้พวกเขาได้รับความสนใจจาก Elektra Records ค่ายเพลงที่กำลังจับตามองวงใหม่ๆ ในเวลานั้น และไม่นานหลังจากนั้นทางวงก็ได้เซ็นสัญญาและบันทึกเสียงอัลบั้มแรกซึ่งมีเพลง “The End” เป็นหนึ่งในเพลงที่โด่งดังในอัลบั้มนี้
เหตุการณ์นี้จึงเป็นทั้งจุดจบของเส้นทางการเป็นวงประจำที่คลับ แต่ก็เป็น จุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ความเป็นตำนานของ The Doors ด้วยเช่นกัน
ความหมายของเพลงแห่งความบ้าคลั่ง
การตีความเพลง The End เปรียบเสมือนการก้าวเข้าสู่ความฝันขณะที่เป็นไข้—แบบที่รู้สึกไม่มีอะไรที่ชัดเจน แต่ทุกสิ่งกลับรู้สึกมีความสำคัญอยู่ในนั้น ภาพภายนอกที่ดูเหมือนเป็นเรื่องของการอำลา เป็นการบอกลาที่เจ็บปวดและคงอยู่นานหลังจากคำพูดถูกเอ่ยออกไป แต่ลึกลงไปกว่านั้น มันคือการเผชิญหน้ากับความตาย ความปรารถนา และการทำลาย
โครงสร้างของเพลงที่เปลี่ยนแปลงไปมา เกือบเหมือนพิธีกรรมของหมอผี สะท้อนความวุ่นวายในจิตใจของมนุษย์ ตั้งแต่ความรักไปจนถึงสงคราม จากการเกิดไปจนถึงการถูกทำลาย ช่วงที่เป็นการพูดอันโด่งดัง ที่จิม มอร์ริสันถ่ายทอดดราม่าครอบครัวแบบบิดเบี้ยว ยิ่งเพิ่มความรู้สึกถึงความขัดแย้งที่เป็นต้นกำเนิด
บางคนบอกว่ามันคือฝันร้ายแบบซิกมุนด์ ฟรอยด์ หรือบางคนก็เรียกมันว่าภาพที่เกิดจากฤทธิ์ของยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มันปฏิเสธไม่ได้ว่า The End ไม่ใช่แค่เพลงธรรมดา มันคือประสบการณ์ และเมื่อคุณก้าวเข้าไปในนั้น คุณจะออกมาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
มรดกอันล้ำค่าที่เกินกว่าชาร์ตเพลง
แม้จะมีเนื้อหาที่ชวนหวั่นใจและความยาวเกือบ 12 นาที “The End” ก็กลายเป็นหนึ่งในบทเพลงที่โดดเด่นที่สุดของวง The Doors ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าศิลปะดิบๆ ที่ไม่ผ่านการกรองสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อยู่
แม้ไม่เคยถูกปล่อยออกมาเป็นซิงเกิล แต่เพลงนี้ก็ได้สร้างตำแหน่งของมันในประวัติศาสตร์ร็อคผ่านอัลบั้มแรกของวงในปี 1967 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล อัลบั้มนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 2 บนชาร์ต Billboard ตอกย้ำให้ The Doors เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่สร้างสรรค์มากที่สุดในยุคนั้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา The End ยังคงเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และได้รับการเคารพนับถือจากแบบที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มเหมือนชมภาพยนตร์ ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นการเดินทางอันมืดมนพร้อมกวีนิพนธ์
ความเป็นอมตะในภาพยนตร์และวัฒนธรรม
ช่วงเวลาที่แท้จริงทางวัฒนธรรมของเพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1979 เมื่อผู้กำกับฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาใช้มันในฉากเปิดของภาพยนตร์ Apocalypse Now มหากาพย์สงครามเวียดนามของเขา ขณะที่เสียงกีตาร์อันน่าขนลุกค่อยๆ แทรกเข้ามา เปลวไฟเผาไหม้ป่า นายทหารคนหนึ่งกำลังเหม่อลอย และหลงอยู่ในภาพทรงจำของหมอกควันในสงคราม
ช่วงเวลานั้นได้ตอกย้ำให้ The End เป็นผลงานสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ เชื่อมโยงกับความบ้าคลั่งของสงครามและการตกต่ำทางจิตใจไปตลอดกาล นับตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ได้ปรากฏในภาพยนตร์ รายการทีวี และแม้แต่วิดีโอเกมต่างๆ มากมาย พร้อมกับนำมาซึ่งบรรยากาศแห่งความหายนะและลึกลับอันเป็นเอกลักษณ์เสมอมา
ไม่ว่าจะผ่านบทกวีที่จิม มอร์ริสันกระซิบบอก หรือการปรากฏตัวอันน่าหวาดหวั่นในวัฒนธรรมป๊อป “The End” ยังคงเป็นเพลงที่คงอยู่ในความทรงจำ เป็นเสียงสะท้อนอันน่าสะพรึงกลัวจากยุคไซเคเดลิกที่ปฏิเสธที่จะเลือนหาย
แปลเพลง The End – The Doors
This is the end | นี่คือจุดจบ
Beautiful friend | เพื่อนรักผู้แสนงาม
This is the end | นี่คือจุดจบ
My only friend, the end | เพียงเธอเท่านั้น เพื่อนข้า จุดจบของทุกสิ่ง
Of our elaborate plans, the end | จุดจบของแผนการที่เราวาดไว้
Of everything that stands, the end | จุดจบของทุกสิ่งที่เคยหยัดยืน
No safety or surprise, the end | ไม่มีที่ปลอดภัย ไร้ซึ่งความประหลาดใจ จุดจบมาถึงแล้ว
I’ll never look into your eyes again | ดวงตาของเธอ ข้าจะไม่มีวันได้มองอีกต่อไป
Can you picture what will be | เธอเห็นภาพอนาคตไหม
So limitless and free | โลกที่ไร้ขอบเขตเสรี
Desperately in need | ผู้คนต่างโหยหา
Of some stranger’s hand | มือของใครสักคนที่ไม่รู้จัก
In a desperate land | ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
Lost in a Roman wilderness of pain | หลงทางอยู่ในถิ่นกันดารโรมันอันแสนเจ็บปวด
And all the children are insane | เด็กน้อยทุกคนล้วนบ้าคลั่ง
All the children are insane | เด็กน้อยทุกคนล้วนบ้าคลั่ง
Waiting for the summer rain | เฝ้ารอเพียงสายฝนแห่งฤดูร้อน
There’s danger on the edge of town | อันตรายซุ่มซ่อนอยู่ปลายขอบเมือง
Ride the King’s highway, baby | จงขี่ไปตามทางหลวงแห่งราชันย์ ที่รัก
Weird scenes inside the gold mine | ภาพแปลกประหลาดซ่อนอยู่ในเหมืองทอง
Ride the highway west, baby | จงขี่ไปยังฟากตะวันตก ที่รัก
Ride the snake, ride the snake | ขี่งูร้ายไป ขี่มันไป
To the lake, the ancient lake | สู่ทะเลสาบโบราณไกลโพ้น
The snake is long, seven miles | งูตัวยาว เจ็ดไมล์ทอดไป
He’s old, and his skin is cold | มันชราแล้ว ผิวหนังเย็นเฉียบ
The west is the best | ฟากตะวันตกคือทางที่ดีที่สุด
The west is the best | ฟากตะวันตกคือทางที่ดีที่สุด
Get here and we’ll do the rest | มาที่นี่ แล้วเราจะพาเธอไป
The blue bus is calling us | รถบัสสีน้ำเงินกำลังเรียกหาเรา
The blue bus is calling us | รถบัสสีน้ำเงินกำลังเรียกหาเรา
Driver, where you taking us? | คนขับ เจ้ากำลังพาเราไปที่ใด?
The killer awoke before dawn | นักฆ่าตื่นขึ้นก่อนฟ้าสาง
He put his boots on | สวมรองเท้าบูทของเขา
He took a face from the ancient gallery | หยิบใบหน้าจากหอศิลป์แห่งกาลเวลา
And he walked on down the hall | แล้วก้าวเดินไปตามทางเดิน
He went into the room where his sister lived | เขาเดินเข้าไปยังห้องของน้องสาว
And then he paid a visit to his brother | แล้วจึงไปหาพี่ชาย
And then he walked on down the hall | แล้วก้าวเดินต่อไปตามโถงทางเดิน
And he came to a door | จนมาถึงประตูบานหนึ่ง
And he looked inside | เขามองเข้าไปข้างใน
“Father?” | “พ่อ?”
“Yes, son?” | “ว่าไง ลูกชาย?”
“I want to kill you” | “ข้าอยากฆ่าท่าน”
“Mother… I want to…” | “แม่… ข้าอยากจะ…”
(ดนตรีล่องลอยไปสู่ภวังค์)
Come on, baby, take a chance with us | มาสิ ที่รัก มาร่วมเดินทางกับเรา
Come on, baby, take a chance with us | มาสิ ที่รัก มาลองเสี่ยงดู
Come on, baby, take a chance with us | มาสิ ที่รัก ลองเสี่ยงดูสักครั้ง
And meet me at the back of the blue bus | แล้วพบข้าที่ท้ายรถบัสสีน้ำเงิน
This is the end | นี่คือจุดจบ
Beautiful friend | เพื่อนรักผู้แสนงาม
This is the end | นี่คือจุดจบ
My only friend, the end | เพียงเธอเท่านั้น เพื่อนข้า จุดจบของทุกสิ่ง
It hurts to set you free | มันเจ็บปวดที่ต้องปล่อยเธอไป
But you’ll never follow me | แต่เธอจะไม่มีวันตามข้าได้
The end of laughter and soft lies | จุดจบของเสียงหัวเราะและคำลวงหวาน
The end of nights we tried to die | จุดจบของคืนวันที่เราต่างพยายามดับสูญ
This is the end | นี่คือจุดจบ

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ