Black Mirror (แบล็ก มิร์เรอร์) ซีซั่นที่ 6 ก็กลับมาแล้วในเดือน มิ.ย. 2023 หลังจากห่างหายจากซีซั่น 5 ตั้งแต่ปี 2019 เกือบ 4 ปี การกลับมาครั้งนี้มีทั้งหมด 5 ตอน ซึ่งทั้ง 5 ตอนนี้ให้รสชาติแบบซีซั่นก่อนๆ หน้าแค่ไม่กี่ตอน ซึ่งค่อนข้างจะฉีกแนวและออกไปทางหนังสยองขวัญเกรดบีซะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ซึ่งในซีซั่น 6 นี้เราจะพบเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีล้ำๆ ได้น้อยมาก นั่นทำให้รู้สึกถึงรสชาติที่เปลี่ยนไปนั่นเอง แม้จะใส่ easter eggs มาเยอะแยะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว้าวสักเท่าไหร่
Black Mirror ซีซั่น 6 ทั้ง 5 ตอนประกอบด้วย
- Joan Is Awful “โจนเป็นคนที่แย่”
- Loch Henry “ล็อคเฮนรี่”
- Beyond The Sea
- Mazey Day (เมซี่ เดย์)
- Demon 79
ข้างล่างต่อไปนี้จะอาจพบสปอยล์ในรีวิวได้นะครับ
Joan Is Awful “โจนเป็นคนที่แย่”
ตอนนี้คิดว่าเป็นตอนที่มีความล้ำใกล้เคียงซีซั่นก่อนๆ หน้าที่สุดแล้วล่ะครับ เนื้อเรื่องจะเน้นความเป็นปัจจุบันของเราที่เริ่มจะพบเห็นได้แล้ว โดยใช้หลายๆ เรื่องผสมเข้าด้วยกัน เช่น เรื่องข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data), เรื่องที่ AI จะมาแย่งงานเราอย่าง Midjourney หรือ ChatGPT ที่สามารถสร้างภาพตามคำสั่งเรา หรือให้ AI มันเขียนบทละคร, การใช้เทคโนโลยี Deepfake ซึ่งเรื่องนี้เคยมีการเอ่ยถึงความเหมาะสมในอนาคตจะเป็นอย่างไร ใน Rogue One (2016) เมื่อนำมาใช้กับดาราที่เสียชีวิตไปแล้วอย่าง Peter Cushing ในบท Grand Moff Tarkin แม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้จะเป็นการ Scan แล้วทำ CGI ไม่ใช่ Deepfake ก็ตาม แต่ก็เหมือนเคยอ่านๆ ประมาณว่า สิทธิ์ของดาราที่เสียชีวิตไปแล้วถูกนำมาใช้โดยไม่ยินยอม(แหงล่ะเพราะตายไปแล้ว)นั้นเหมาะสมหรือไม่ ประมาณนั้นอ่ะครับ
Joan Is Awful “โจนเป็นคนที่แย่” นั้นเล่นกับเบื้องลึกของจิตใจของมนุษย์ โดยอาศัยการเข้าถึงของข้อมูลส่วนบุคคลนำไปสร้างเป็นคาแรคเตอร์โดย AI รวมถึงเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ชมด้วย กล่าวคือ AI สามารถรู้ถึงได้ว่าลึกๆ แล้วเราไม่ชอบใครในชีวิตจริง ก็จะสร้างตัวละครคนๆ นั้นมาให้เราดูถึงความพินาศเพื่อความสะใจของเราเอง
แต่เนื้อเรื่องไม่ได้ทำออกมาเรียบๆ แค่นั้น เนื้อเรื่องจะซ้อนเข้าไปอีกขั้นว่าตัวละครที่ถูกสร้างมานั้น มีความนึกคิดของตัวเองเหมือนกัน (คล้ายๆ ในตอน White Christmas, USS Callister, White Bear และ Black Museum เป็นต้น) แถมด้วยซ้อนเรื่องไปหลายๆ ชั้นเหมือนเข้าไปใน The Matrix เมื่อเรื่องถูกเฉลยในตอนหลัง ถึงกับแอบปลื้มปริ่ม นี่สินะ Black Mirror ที่เรารอคอย
Loch Henry “ล็อคเฮนรี่”
เนื้อเรื่องของตอนนี้แอบเซอร์ไพรซ์มาก นอกจากจะไม่มีเทคโนโลยีล้ำๆ มาโชว์ในเรื่องแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องย้อนกลับไปใช้เทคโนโลยีเก่าๆ มาใช้แทนเสียด้วยซ้ำ หนึ่งในนั้นก็คือ วิดีโอเทป VSH
เนื้อเรื่องจะว่าด้วยคู่รักจะทำหนังสารคดี(Documentary film) จึงพากันไปที่บ้านของผู้ชายที่สก็อตแลนด์ แฟนสาวของผู้ชาย ซึ่งน่าจะเป็นคนอเมริกัน แอบสงสัยว่าสถานที่สวยงามแห่งนี้ทำไมถึงไม่มีนักท่องเที่ยว เมื่อรู้ความจริงว่า มีเหตุฆาตกรรมทำให้ที่แห่งนี้ร้างลานักท่องเที่ยวไปในที่สุด นั่นจึงเริ่มเรื่องการทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้แทน และ ค่อยๆ สืบสวนจนพบความจริงในที่สุด นั่นล่ะครับ แอบเซอร์ไพรซ์มาก ที่แบล็ค มิร์เรอร์มาเล่นหนังแนวสยองขวัญสืบสวนอาชญากรรมแทน
Beyond The Sea
ถือว่าเป็นจุดขายตอนนึงของซีซั่น เพราะว่านำดาราดังอย่าง Aaron Paul (Breaking Bad, El Camino: A Breaking Bad Movie และ Need For Speed) Josh Hartnett (Black Hawk Down, Pearl Harbor และ Lucky Number Slevin) และ Kate Mara (House of Cards, The Martian และ Megan Leavey) มาร่วมแสดง นับว่าเป็นดาราเบอร์ใหญ่ชุดนึงที่มาเล่นซีรี่ย์นี้
เนื้อเรื่องเป็นธีมย้อนยุคอีกแล้ว โดยเซ็ตในปี 1969 แต่เทคโนโลยีนั้นล้ำกว่านั้นมาก โดยนักบินอวกาศนั้นต้องขึ้นไปปฏิบัติงานในอวกาศเป็นเวลา 6 ปี แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่จะคิดถึงบ้านและลูกเมีย เมื่อมีเทคโนโลยีสร้างหุ่นจำลอง(Replica) ตัวเองไว้ที่บ้าน ซึ่งเหมือนคนจริงมาก โดยการเข้าร่างหุ่นจำลองนั้นก็คล้ายๆ กับเจคในอวตาร(Avatar)นั่นแหละครับ โดยจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ หากยานอวกาศขัดข้องก็มีสัญญาณเตือนผ่านนาฬิกาให้กลับไป
ตอนนี้เล่นกับจิตใจของมนุษย์อีกแล้ว เมื่อครอบครัวของเดวิด(Josh Hartnett) ถูกกลุ่มคนคลั่งลัทธิที่ต่อต้านสิ่งที่เหนือกว่าพระเจ้าสร้างมาโดยธรรมชาติ ทำร้ายจนเสียชีวิตไป นั่นทำให้เดวิดชีวิตล่มสลายในทันที โดยไม่สามารถเข้าร่างจำลองของตัวเองได้อีกต่างหากเพราะถูกทำลายไปไม่สามารถสร้างใหม่ได้ และงานก็ยังต้องปฏิบัติต่อไปโดยไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะต้องใช้คนทำงานบนยาน 2 คน และก็เหลือเวลาอีกตั้ง 4 ปี เดวิดคงเหงาหงอยน่าดู
และเมื่อคลิฟท์(Aaron Paul) แสดงความเห็นอกเห็นใจ ให้เดวิดสามารถใช้ลิ้งค์เพื่อเข้าไปร่างจำลองของเค้าได้ อย่างน้อยๆ ก็ได้ไปเดินซึมซับบรรยากาศบนโลกบ้าง เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น แต่นั่นบางครั้งเราใจดีกับใคร อาจไม่ได้ผลตอบรับกลับมาที่ดีเหมือนที่เราให้กับเค้าได้ เมื่อเดวิดคิดอะไรไม่ดีกับเมียของคลิฟท์ขึ้นมา ซึ่งการเล่าเรื่องของตอนนี้ยากเกินจะคาดเดา เพราะการแสดงของแอรอนและเคทนั้นดีมาก และแน่นอนขึ้นชื่อว่าแบล็ค มิร์เรอร์แล้ว ไม่ค่อยแฮปปี้เอนดิ้งหรอกนะ
Mazey Day (เมซี่ เดย์)
ตอนนี้ไม่มีเทคโนโลยีล้ำๆ อีกแล้ว หนังเล่นกับเรื่องความเป็นส่วนตัวและความเป็นสาธารณะ โดยใช้ความเป็นดาราดังกับกลุ่มปาปารัสซีเป็นตัวแทนของเรื่องนี้้ โดยในหนังเซ็ตธีมในแอลเอช่วงปี 2000s ในยุคที่ใช้ Windows XP , เชื่อมต่ออินเตอร์ผ่านโมเด็ม กับ iPod Shuffle
หนังนอกจากจะไม่มีเรื่องเทคฯ อย่างที่บอกไปแล้ว เนื้อเรื่องยังแสดงให้ออกมาเป็นหนังสยองขวัญเกรดบีแบบยุค 70s / 80s อีกต่างหาก แม้จะทำออกมาพอลุ้นระทึกดูได้ แต่แอบผิดหวังเล็กๆ อยู่เหมือนกัน
Demon 79
เหมือนตอนก่อนๆ หน้า ไม่มีเรื่องเทคฯ ล้ำๆ เข้ามาในเรื่อง เปิดเรื่องมาก็แนวหนังสยองขวัญเกรดบีมาเลย แต่ตอนนี้ยอมรับว่าทำออกมาได้ดีกว่าตอน Mazey Day (เมซี่ เดย์)
เนื้อเรื่องถูกเซ็ตย้อนยุคเหมือนเดิมเช่นกัน เซ็ตธีมเป็นอังกฤษตอนเหนือในปี 1979 ตัวละครเอก นีด้า ฮุค (Anjana Vasan) หญิงสาวอินเดียอพยพเข้ามาอาศัยและทำงานอยู่ในอังกฤษ ซึ่งในช่วงนั้นอังกฤษรับคนอินเดียอพยพเข้ามา เนื่องจากชาวอินเดียที่อาศัยและทำงานอยู่ในแอฟริกาตะวันออก ถูกเผด็จการทหารอย่าง อีดี อามิน ขับไล่ออกนอกประเทศยูกันดาภายใน 90 วัน ทำให้ชาวอินเดียที่ส่วนใหญ่ทำงานก่อสร้างรางรถไฟยูกันดา-เคนย่า ต้องรีบอพยพกัน ด้วยความที่อินเดียนั้นเป็นเมืองขึ้นของสหราชอาณาจักรอยู่แล้ว ทำให้ชาวอินเดียกว่าสองหมื่นคนเข้าไปอาศัยอยู่ในอังกฤษ และแน่นอนพรรคฝ่ายขวาจัดๆอย่าง National Front แอนตี้ชาวอพยพ โดยหนังมาแนวๆ เดียวกันคือ เล่นกับจิตใจของมนุษย์อีกแล้ว
นีด้า ฮุค พนักงานขายรองเท้าในห้าง แสดงภาพออกมาเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน สงบเสงี่ยมเจียมตัว โดยมีเพื่อนร่วมงานนิสัยแย่ และ เหยียดเชื้อชาติอย่าง วิคกี้ นอกจากจะกินแรงเพื่อนไม่พอ แต่เจ้านายก็ยังให้เธอได้หน้า โดยนีด้านั่นได้แต่เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ข้างใจ
จุดเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อถูกกระทำซ้ำๆ จากสังคม อาจกระตุ้น(Triggered) จากคนดีๆ ปลุกด้านมืดในจิตใจของตัวเองขึ้นมา เราจะได้เห็นจากหลายๆ ฉากที่นีด้าจินตนาการทำรุนแรงกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงานของเธอ
และนั่นก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เห็นคนดีๆ ดีลกับปีศาจ(Demon) และปีศาจก็ดีลกับมนุษย์เพื่อผลงานของตัวเอง แม้ว่าเรื่องนี้ไม่มีเทคโนโลยีให้เล่า แต่ก็แอบคิดเหมือนกันว่าปีศาจนั่นล่ะคือตัวแทนของเทคโนโลยี โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลของแต่ละคน ดูได้ถึงอดีตที่เปรียบได้กับ Digital Footprint ว่าเราเคยไปทำอะไรไว้ รวมถึงการทำนายอนาคต (Prediction) ซึ่งนำข้อมูลในอดีตมาทำ Machine Learning นั่นแหละครับ
ตอนปิดของซีซั่นนี้ ยอมรับเลยว่าทำออกมาได้ดีมาก การแสดงของ Anjana Vasan ก็แสดงออกมาได้ดีทุกบทบาทที่เธอได้รับ เนื้อเรื่องก็กล้ำๆ กึ่งๆ คาดเดาได้ยากว่าจะออกมารูปแบบไหน แต่พอจบออกมาแล้วก็ยอมรับเลยว่าตอนปิดของซีซั่นแบล็ก มิร์เรอร์นั้นมีมาตรฐานอยู่เหมือนกัน
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่ถ้าเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ