Twelve Monkeys – 12 ลิง มฤตยูล้างโลก เป็นภาพยนตร์ไซไฟที่ชวนตะลึง กำกับโดย Terry Gilliam ที่พาผู้ชมไปพบกับการเดินทางอันน่าตื่นเต้นผ่านกาลเวลาและความซับซ้อนของการดำรงอยู่ของมนุษย์ คัลท์คลาสสิก (cult classics)เรื่องนี้ออกฉายในปี 1995(2538) ยังคงเป็นอัญมณีอันล้ำค่าของวงการภาพยนตร์ที่ยืนยงคงอยู่ในแนวไซไฟเสมอมา โดยผสมผสานองค์ประกอบของดิสโทเปีย ความลึกลับ และดราม่าจิตวิทยาเข้าด้วยกันอย่างยอดเยี่ยม ช่วยสร้างประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนใคร
การดำเนินเรื่องเล่าถึงอนาคตที่ล่มสลายและอันเยือกเย็น ซึ่งถูกทำลายล้างด้วยไวรัสมรณะ จะพาติดตามเจมส์ โคล (แสดงโดยบรูซ วิลลิส) นักโทษจากปี 2035 ที่ถูกส่งย้อนเวลากลับไปในช่วงปี 1990 เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัสเพื่อนำมาสร้างภูมิคุ้มกันในปัจจุบัน โดยเจมส์ โคลได้พบกับจิตแพทย์สาวสวย “ดร. แคธรีน เรลลี่” (แสดงโดยแมเดลีน สโตว์) ที่เข้าไปพัวพันกับภารกิจที่ดูเพ้อฝันของเขา
จุดแข็งของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การเล่าเรื่องที่ดึงดูดใจ ซึ่งทำให้ผู้ชมคาดเดาและตั้งคำถามถึงธรรมชาติของความเป็นจริงได้ตลอด เมื่อเรื่องราวคลี่คลาย เส้นแบ่งระหว่างภาพลวงตาและความจริงจะพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราต้องไตร่ตรองถึงความน่าเชื่อถือของความทรงจำที่กระจัดกระจายของเจมส์ โคล และการรับรู้ของเขาเกี่ยวกับช่วงเวลา ความคลุมเครือนี้เพิ่มชั้นของความตึงเครียดทางจิตวิทยาให้กับภาพยนตร์ ขยายความรู้สึกของความไม่สบายใจและอุบายที่กำลังหลอกล่อเราอยู่
บรูซ วิลลิสแสดงได้อย่างทรงพลังในบทบาทเจมส์ โคล แสดงออกทางอารมณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่สิ้นหวังและอ่อนแอ ไปจนถึงความมุ่งมั่นและกลับสู่คนอึดตายยาก การแสดงของแมเดลีน สโตว์ในบทดร. เรลลี่ก็น่ายกย่องไม่แพ้กัน เธอนำความลึกซึ้งและความเห็นอกเห็นใจมาสู่ตัวละครของเธอ ตั้งคำถามกับความเชื่อของเธอเองและท้าทายที่ขัดกับความจริงที่เป็นอยู่ เคมีระหว่างนักแสดงนำทั้งสองนั้นชัดเจน ยึดเหนี่ยวภาพยนตร์เรื่องนี้ท่ามกลางเรื่องราวการเดินทางข้ามเวลาที่วุ่นวาย
ส่วนนักแสดงสมทบอันยอดเยี่ยมของแบรด พิตต์ในบทบาทเจฟฟรีย์ กอยส์ เป็นการแสดงแบบใช้ความสามารถแบบเต็มหลอด ที่เค้าแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันล้นเหลือและความเก่งกาจของเขาในฐานะนักแสดง ที่แสดงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และคาดเดาไม่ได้ในความเป็นคนป่วยจิตเภท โดยโลดแล่นอยู่บนขอบของความบ้าคลั่ง ความแปลกแยก และช่วงเวลาแห่งความเปราะบางที่ทำให้ เจฟฟรีย์มีเสน่ห์และดูปั่นป่วนไปพร้อมๆ กัน ความมุ่งมั่นของแบรด พิตต์ที่มีต่อตัวละครแสดงให้เห็นความชัดเจนของความสามารถในทุกฉาก
สุนทรียภาพของงานวิช่วลในเรื่องเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ที่มีวิสัยทัศน์ของเทอร์รี่ กิลเลียม อนาคตของดิสโทเปียถูกนำเสนอด้วยภาพสีสดใสที่ชวนหลอน ซึ่งตรงกันข้ามกับความสมจริงที่รุนแรงของยุคปัจจุบัน สไตล์วิชวลอันเป็นเอกลักษณ์ของกิลเลียมซึ่งโดดเด่นด้วยการใช้สีที่สดใส การออกแบบฉากที่ซับซ้อน และมุมกล้องที่แปลกประหลาด ช่วยเพิ่มคุณภาพที่เหนือจริงให้กับภาพยนตร์ ขยายบรรยากาศที่น่าสับสน
จุดไคล์แมกซ์ของเรื่อง
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดไคลแมกซ์ จะมีความรู้สึกที่ทั้งประหลาดใจและท้าทายการรับรู้ของเรา เพราะตลอดการเล่าเรื่อง เราถูกชักนำให้เชื่อว่ากองทัพลิงนั้นเป็นตัวการในการปล่อยไวรัสระบาดไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในโชคชะตาที่พลิกผัน กลับพบว่ากลุ่มของแบรด พิตต์นี้นี้เป็นเพียงตัวที่หลอกล่อคนดูเท่านั้น(Red Herring) ผู้ควบคุมที่แท้จริงของการปลดปล่อยไวรัสถูกเปิดเผยว่าเป็นดร. ปีเตอร์ส (แสดงโดยเดวิด มอร์ส) พนักงานของของพ่อแบรด พิตต์ ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาซึ่งเป็นต้นกำเนิดของไวรัส
ในที่สุดภาพที่หลอกหลอนเจมส์ โคลนั้นไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือภาพจริงที่เค้าเห็นในตอนเด็กที่สนามบิน และคนที่ถูกยิงตายต่อหน้านั้นก็คือตัวเค้าเองในตอนโต และผู้หญิงผมทองที่มองหน้าเค้านั่นก็คือดร.เรลลีนั่นเอง มันเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า แม้ว่าจะย้อนอดีตมาได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขอดีตหรืออนาคตกับสิ่งที่จะเกิดได้ เพราะยังไงไวรัสมันก็ต้องระบาดอยู่ดี
แต่ยังไงก็ถือว่าเจมส์ โคลทำภาระกิจสำเร็จเรียบร้อย ในการแจ้งเบาะแสเพิ่มเติมกลับไปยังอนาคต ทำให้นักวิทยาศาตร์นั้นกลับมาล้วงข้อมูลเพิ่มเติมจากดร.ปีเตอร์สได้เพิ่มในการผลิตวัคซีนป้องกันในโลกอนาคตให้กับประชากร 1% ที่รอดชีวิต
ตอนจบที่หักมุมนี้รู้สึกเจ็บปวดและกระตุ้นความคิดไปพร้อมๆ กัน มันทำให้เกิดคำถามลึกซึ้งเกี่ยวกับปัจจัยกำหนด ชะตากรรม และความไร้ประโยชน์ของการพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งประวัติศาสตร์ มันท้าทายความคาดหวังแบบเดิม ๆ ของเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา และปล่อยให้เราครุ่นคิดถึงธรรมชาติของเหตุการณ์ที่เป็นวัฏจักร
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่ถ้าเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ