Skip to content

[รีวิว] As Above, So Below – แดนหลอนสยองใต้โลก (2014)

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

เรื่องย่อ

ภาพยนตร์ As Above, So Below (2014) ชื่อไทย “แดนหลอนสยองใต้โลก” เล่าเรื่องราวของสการ์เล็ตต์ มาร์โลว์ นักโบราณคดีสาวไฟแรงที่ออกตามหาศิลาอาถรรพ์ในตำนาน เธอนำทีมบุกเข้าไปในสุสานใต้ดินกรุงปารีส ที่เป็นเขาวงกตฝังศพคนนับล้าน โดยมีจอร์จแฟนเก่าและเบนจี้ช่างภาพร่วมทีม

ระหว่างสำรวจลึกลงไปเรื่อยๆ พวกเขาต้องเผชิญกับความกลัวและความทรงจำอันเลวร้ายที่ซ่อนอยู่ในใจ เหตุการณ์ประหลาดเริ่มเกิดขึ้น ทั้งภาพหลอนอันสยองขวัญและสัญลักษณ์อันลึกลับ ที่ไม่เพียงคุกคามชีวิต แต่ยังท้าทายความเข้าใจในโลกแห่งความจริงของพวกเขา

เนื้อเรื่องสะท้อนภาพการเดินทางลงสู่นรกคล้ายกับในบทกวี Inferno ของดันเต้ เป็นการผจญภัยสยองขวัญที่พาผู้ชมดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดใต้พื้นพิภพไปพร้อมกับตัวละคร

เทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบบันทึกจากเหตุการณ์จริง(Found Footage) เล่าเรื่องผ่านกล้องที่ถ่ายถ่ายด้วยมือเป็นหลัก ทำให้ดูเรียลและดิบๆ ซึ่งวิธีนี้ช่วยสร้างบรรยากาศตึงเครียดให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนติดอยู่ในสุสานใต้ดินแคบๆ อึดอัด มืดมิด และผู้กำกับจอห์น เอริก ดาวเดิล เลือกใช้แสงน้อยๆ เพื่อบังคับให้เราต้องจับจ้องทุกรายละเอียดตรงหน้า ซึ่งมักจะทำให้สะดุ้งตกใจอยู่บ่อยๆ

การถ่ายทำในสุสานใต้ดินจริงๆ ช่วยเพิ่มความสมจริงและอินให้กับหนัง สถานที่ที่มีประวัติศาสตร์อันน่าขนลุกนี้ทำให้เกิดความกดดันทางอารมณ์ได้ดี แม้ภาพที่สั่นไหวจากการถือถ่ายด้วยมือนั้น อาจทำให้บางคนมึนงงกับภาพไปบ้าง แต่นั่นก็ตั้งใจสื่อถึงความโกลาหลและไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในเนื้อเรื่อง

สัญลักษณ์และปรัชญาในภาพยนตร์

เรื่อง As Above, So Below นี้ แฝงแนวคิดปรัชญาและไสยศาสตร์ไว้อย่างลึกซึ้ง ชื่อเรื่องมาจากหลักปรัชญาโบราณที่ว่า “บนฟ้าเป็นอย่างไร ใต้ดินก็เป็นอย่างนั้น” สื่อว่าโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์นั้นสะท้อนซึ่งกันและกันดั่งกระจกเงา สุสานใต้ดินในเรื่องเปรียบเสมือนการเดินทางเข้าสู่จิตใต้สำนึก ที่ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับบาปและความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในใจ

ศิลาอาถรรพ์เป็นสัญลักษณ์สำคัญ ไม่ใช่แค่ของวิเศษที่เปลี่ยนโลหะเป็นทอง แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองและการตรัสรู้ การตามหาศิลาของสการ์เล็ตต์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของวัตถุนิยม แต่เป็นการค้นหาตัวตนที่แท้จริง หนังสื่อว่าการไถ่บาปที่แท้จริงต้องเกิดจากภายในจิตใจตน ซึ่งตัวละครแต่ละคนต้องเอาชนะปีศาจในใจตัวเองให้ได้เพื่อที่จะรอดเหตุการณ์ติดอยู่ในถ้ำนี้

เรื่องราวในเรื่องนี้คล้ายการลงนรกในมหากาพย์ของดันเต้(Divine Comedy -ดีวีนากอมเมเดีย) ที่แต่ละชั้นใต้ดินเป็นบททดสอบให้ตัวละครเผชิญกับบาปในอดีต สะท้อนแนวคิดการชำระล้างจิตวิญญาณที่มีในหลายปรัชญา คนเราต้องยอมรับและก้าวข้ามข้อบกพร่องของตัวเอง เพื่อเข้าถึงปัญญาขั้นสูงสุด

การตีความหลังดูจบ

ตอนจบของ As Above, So Below มีทั้งความหมายตรงและนัยยะแฝง หลังผ่านสุสานอันสยอดสยองมาได้ ในกลุ่มเหลือรอดแค่สการ์เล็ตต์ จอร์จ และเซ็ด ที่สการ์เล็ตต์ตระหนักได้ว่าศิลาอาถรรพ์ที่แท้จริงอยู่ในตัวเธอ ไม่ใช่ของวิเศษภายนอก เธอเข้าใจว่าพลังรักษาและไถ่บาปอยู่ในใจ ความเข้าใจนี้ทำให้เธอกล้าเผชิญความกลัวที่สุด คือความรู้สึกผิดที่ไม่ได้สนใจหรือจะช่วยเหลือพ่อ ก่อนที่พ่อของเธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง

พอสการ์เล็ตต์ยอมรับความจริงในใจและการให้อภัยตัวเอง เธอก็ช่วยรักษาจอร์จบาดเจ็บที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะหมดหนทางไปแล้ว หลังจากนั้นทั้งสามก็หนีรอดโดยย้อนกลับทางเดิม ลงไปสุดก้นบึ้งของถ้ำแล้วปีนขึ้นฝาท่อลับสู่โลกภายนอก จุดจบนี้บอกเราว่าการหลุดพ้นจากนรกในใจต้องอาศัยการไตร่ตรองและให้อภัยตัวเอง การผจญภัยของสการ์เล็ตต์เป็นทั้งการเดินทางที่เปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นปัญญา

หนังยังทิ้งข้อคิดไว้ว่า การเผชิญหน้ากับความกลัวและรับผิดชอบการกระทำของตน คือทางเดียวที่จะไถ่บาปได้ เล่นกับแนวคิดเรื่องความกลับตาลปัตร เหมือนการลงลึกจริงๆ เป็นการขึ้นสู่ความรู้แจ้ง

สรุปแล้ว As Above, So Below ไม่ใช่แค่หนังผีสยองขวัญ แต่ใช้สัญลักษณ์และปรัชญาชวนให้คิดนอกกรอบ ทั้งเรื่องบาป การไถ่โทษ และความเชื่อมโยงระหว่างโลกวัตถุกับจิตวิญญาณ แม้วิธีถ่ายทำอาจทำให้บางคนไม่ชอบ แต่หนังก็สร้างความตึงเครียดทางจิตใจได้ดี และแม้ว่าจะไม่สนใจเรื่องปรัชญาใดๆ ในเรื่อง ก็สามารถรับชมออกมาได้สนุกอยู่ดี เหมือนดั่งเช่นหนังผจญภัยล่าขุมทรัพย์ต่างๆ ที่เห็นได้บ่อยในโลกภาพยนตร์ และสิ่งนึงที่ช่วยการันตีได้ก็คือ หนังสามารถทำเงินได้ $41 ล้าน จากทุนสร้างแค่ $5 ล้านเหรียญนั่นเอง

เกร็ดจาก IMBD

  • นี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลฝรั่งเศสให้ใช้สุสานใต้ดินในปารีส พร้อมด้วยโครงกระดูกจริงที่ถูกจัดวางไว้อย่างน่าขนลุกที่มีอายุหลักร้อยปี
  • เบน เฟลด์แมน (ผู้รับบทจอร์จ) แท้จริงแล้วเป็นโรคกลัวที่แคบ แต่แค่ในระดับเล็กน้อย ทำให้ต้องหยุดพักกองบ่อยๆ เพื่อจัดการกับอาการนี้
  • ไนท์คลับที่สการ์เล็ตไปตามหาปาปิยองนั้น เป็นคลับที่มีอยู่จริงในปารีส และ DJ Axiom ก็กำลังทำงานเปิดเพลงจริงๆ ในขณะที่มีการถ่ายทำฉากนั้นกันอยู่
  • ตอนที่สการ์เล็ตกับจอร์จอยู่ในหอนาฬิกา คุยกันเรื่องการเดินทางของเธอไปอิหร่านเพื่อหากุญแจดอกกุหลาบ ระฆังและกลไกนาฬิกาก็เริ่มทำงานเองโดยอัตโนมัติ เหตุการณ์นี้อาจเป็นการบอกใบ้ถึงชีวิตของจอร์จ ที่คล้ายกับชีวิตของดันเตในนรกขุมต่างๆ ถูกบังคับให้ออกนอกเส้นทางโดยไม่เต็มใจ และต้องผ่านพ้นนรกแห่งนี้ไปด้วยตัวเองเท่านั้น
  • นอกจากนี้การเผชิญหน้ากับตำรวจใกล้ทางเข้าอุโมงค์ใต้ดิน เหตุการณ์นี้อาจเป็นสัญลักษณ์แทนหมาป่าในนรกขุมต่างๆ ที่บังคับให้จอร์จต้องเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน ทั้งที่เขายืนยันว่าจะไม่เข้าไป
  • “รู” ที่ตัวละครทั้งสามกระโดดลงไปเพื่อหนีจาก “นรก” อาจเป็นการอ้างอิงถึงเรื่อง “Dante’s Inferno” ของดันเต้ ในการหนีออกจากนรก ดันเต้ต้องปีนลงไปตามท้องที่มีขนของซาตาน จนถึงสะดือของมัน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นจุดศูนย์กลางของโลก ที่จุดแรงโน้มถ่วงกลับด้านทำให้ทิศดำดิ่งลงกลายเป็นทิศต้องขึ้นไปแทน ด้วยเหตุนี้การกระโดดและตกลงไปจึงพาพวกเขากลับขึ้นมาสู่ระดับด้านบนโลกในกรุงปารีส
  • เมื่อตัวละครเข้าไปในอุโมงค์แรก พวกเขาได้พบกับลาโตพ (La Taupe) ซึ่งเชื่อกันว่าตายไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน แท้จริงแล้วลาโตพนั้นได้ตายไปแล้วจริงๆ และติดอยู่ในลิมโบ (Limbo – สภาวะระหว่างโลกมนุษย์กับโลกหลังความตาย) สิ่งที่พิสูจน์เรื่องนี้คือความเร็วเหนือมนุษย์ของลาโตพในการเคลื่อนที่ผ่านทางเดินต่างๆ นอกจากนี้ในตอนหลังเมื่อเหล่าตัวละครดำน้ำและโผล่ขึ้นมา พวกเขาเปียกโชกไปหมด แต่ลาโตพกลับแห้งสนิทอยู่คนเดียว
  • การเดินทางผ่านนรกในอุโมงค์ลับของสุสานใต้ดินปารีสเริ่มจากห้องโถง ผ่านขุมนรกทั้งเก้า ได้แก่ ลิมโบ, ตัณหา, ความตะกละ, ความโลภ, ความโกรธ, การนอกรีต, ความรุนแรง, การหลอกลวง, และการทรยศ แต่ละขุมมีลักษณะเฉพาะและเหตุการณ์สำคัญ เช่น การพบวิญญาณลาโตพในลิมโบ การตายของซูซี่ในขุมแห่งความรุนแรง และการทรยศของปาปิยองในขุมสุดท้าย ระหว่างทางยังต้องเผชิญกับภาพหลอน สิ่งมีชีวิตในตำนาน และการทดสอบจิตใจ จนถึงขุมที่สุดที่หยั่งถึง(Bottomless) และการเข้าสู่ศรัทธาให้ย้อนกลับจุดเริ่มต้นในช่วงท้าย การเดินทางนี้สะท้อนถึงบทกวี “Dante’s Inferno” และแสดงให้เห็นถึงบาปและการลงทัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ
  • ชายที่อยู่ในห้องใต้ดินที่เป็นคนบอกให้สการ์เล็ตต์ไปหาปาปิยองก็คือชายคนเดียวกันที่อยู่บนรถที่กำลังลุกไหม้ในช่วงท้าย

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *