Skip to content

[รีวิว] Bangkok Breaking: Heaven and Hell – ฝ่านรกเมืองเทวดา (2024)

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

ภาพยนตร์ Bangkok Breaking: Heaven and Hell – ฝ่านรกเมืองเทวดา (2024) เป็นเหมือนภาคแยกของซีรี่ส์ 6 ตอนจาก Bangkok Breaking มหานครเมือง(ห)ลวง ในปี 2021 โดยทั้งสองเรื่องได้รับเงินทุนสร้างจาก NETFLIX และส่วนตัวยังไม่เคยดูแบบซีรี่ส์ 6 ตอนมาก่อน ก็ยังสามารถดูแบบภาพยนตร์เข้าใจได้ เพราะว่าภาคแยกนี้เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ยกเว้นตัวละครเอก “วันชัย” ที่แสดงโดยเวียร์ถูกนำมาใช้ในการดำเนินเรื่องเท่านั้น

การวิจารณ์ภาพยนตร์ที่กำกับโดย “โขม-ก้องเกียรติ” สามารถหาอ่านได้ทั่วไปมีทั้งชื่นชอบและบ่นๆ และส่วนตัวไม่ใช่แฟนหนังของแกเท่าไหร่ โดยเฉพาะขุนพันธ์ไม่เคยดูจบสักทีแม้แต่ภาคเดียว แต่จะบอกถึงความรู้สึกกับเรื่องนี้ว่า “น่านับถือ” เป็นอย่างมาก แม้ว่าเคยเห็นภาพยนตร์แอ็คชั่นแบบนี้มาเยอะแล้วก็ตาม แต่ในวงการภาพยนตร์ไทยนั้นกล้าบอกเลยว่าน้อยมากๆ ที่ทำออกมาแบบนี้ อย่างเช่น ฉากขับรถไล่ล่าน่ะครับ ย้อนดูได้เลยทั้งจอเงินและจอแก้วหาดูยากมากๆ และทำถึง ตรงนี้แหละที่น่านับถือเรื่องแรกแล้ว

หากเปรียบดั่งเหตุการณ์จริงผสมเรื่องแฟนตาซีเข้าไปเหมือนในเรื่องไททานิค “แจ็คกับโรส” เป็นดั่งตัวละครที่พาเราไปพบกับเรื่องราวต่างๆ บนเรือตั้งแต่ออกจากท่าจนจมสู่มหาสมุทร และเช่นกันในเรื่องนี้ “วันชัย, เมจิ, สิน, แบงค์ และ คุณหนูดวงกมล” จะพาเราไปพบกับกรุงเทพฟ้าอมรเมืองเทพสร้าง ในมุมมองของโขม-ก้องเกียรติ

กรุงเทพฯ นั้นมีหลายมุมมองให้มอง หลายๆ คนก็รู้สึกว่าถ้ากรุงเทพฯ มีพรมก็คงมีอะไรซ่อนอยู่ข้างใต้อยู่แน่นอน โดยมีพื้นฐานจากเหตุการณ์จริงในอดีตมาผสมกับความแฟนตาซีลงไปจึงออกมาเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยเอาตัวรอดในเหตุการณ์ที่ตกกระไดพลอยโจนของตัวละครหลัก

เรื่องนี้จึงอยากให้มองว่าเป็นแฟนตาซีมากกว่าจะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์จริง แม้ว่าเรื่องจริงในกรุงเทพจะมีความโหดร้ายคนละแบบในหนัง แต่ไม่ก็แพ้กันซะทีเดียวอยู่ดี บางความคิดเห็นเน้นไปการเชื่อมโยงกับเรื่องจริงมากไปจะต้องตีความออกมา นั่นเลยทำให้ขาดความสนุกไปเอง

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสียเดียว เพราะจุดบกพร่องก็ยังมีให้เห็นพอควรอยู่เช่นกัน การต่อเนื่องของแต่ละซีนมีความ “โดดๆ”​ ในความรู้สึก ตรงนี้น่าจะเป็นปัญหาในการตัดต่อมากกว่าถ่ายทำ การร้อยเรื่องราวให้ยาวนานเกินไป รวมถึงแอคติ้งของนักแสดง เช่น การตะโกนแบบรู้สึกขัดกับเหตุการณ์ แต่โดยรวมๆ แล้วก็ไม่ถือว่าออกมาแย่หรอกนะครับ โดยเฉพาะ ดู๋ สัญญา เป็นดั่งเดอะแบกของเรื่อง ฮีโร่เทาๆ แบบหนังคาวบอยนั่นแหละครับ

แต่โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ทำให้เราดูจบได้ ก็คิดว่าถูกใจและดีพอควร(สำหรับตัวเอง) เทียบกับขุนพันธ์แล้วยิงกันหูดับตับไหม้ ยังรู้สึกไม่อยากดูต่อ แต่เรื่องนี้มันยังพอมีจุดให้เอาใจช่วยลุ้นต่อว่าจะไปจบลงตรงไหน ประกอบกับแบ็คกราวน์ของเมืองกรุง ในรูปแบบที่เสื่อมโสมแบบแฟนตาซี จังหวะหักมุมพอมาในจังหวะๆ พอดีๆ คิดว่าเรื่องนี้เป็นหนังแอ็คชั่นของไทยทีทำออกมาได้ดีเรื่องนึงเลยทีเดียวล่ะครับ

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *