“The Intern” (โก๋เก๋ากับบอสเก๋ไก๋) – ภาพยนตร์ที่ผมเพิ่งได้ชมในปี 2025 แม้จะผ่านมาเกือบทศวรรษแล้วก็ตาม หลังจากที่เคยประทับใจกับ The Devil Wears Prada (2006) มาก่อน ผมจึงตั้งใจเลี่ยงที่จะดูเรื่องนี้ด้วยคิดว่าคงไม่มีอะไรแตกต่าง แต่นั่นกลับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง
ภายใต้การกำกับและเขียนบทของ Nancy Meyers ภาพยนตร์คอมเมดี้-ดราม่าเรื่องนี้ได้พลิกบทบาทที่น่าสนใจ โดยให้ Anne Hathaway รับบทเป็นผู้บริหารสาวรุ่นใหม่ไฟแรง ขณะที่ Robert De Niro รับบทเป็นเด็กฝึกงานวัยเก๋า เรื่องราวดำเนินไปผ่านความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสอง ที่ต่างได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน
แม้จะดูเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความลึกซึ้งที่ทำให้ผู้ชมยากจะละสายตา เป็นอีกหนึ่งผลงานที่พิสูจน์ให้เห็นว่า บางครั้งสิ่งที่เราเลือกมองข้ามอาจเป็นสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดก็เป็นได้
เรื่องย่อ
เบน วิทเทเกอร์ (Robert De Niro) ชายวัย 70 ปี ผู้เคยเป็นผู้บริหารบริษัทสิ่งพิมพ์มาก่อน ตัดสินใจกลับเข้าสู่โลกการทำงานในฐานะ “เด็กฝึกงานอาวุโส” ในโปรแกรมพิเศษของบริษัทสตาร์ทอัพด้านแฟชั่นออนไลน์ชื่อ About The Fit ที่บริหารโดยจูลส์ ออสติน (Anne Hathaway) หญิงสาวผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพแต่ต้องแบกรับความกดดันอย่างมากทั้งในเรื่องงานและครอบครัว
ในช่วงแรก เบนดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรที่มีความทันสมัย แต่ด้วยบุคลิกที่อบอุ่น ความสุขุม และประสบการณ์ชีวิต เขาค่อยๆ กลายเป็นส่วนสำคัญในบริษัท รวมถึงเป็นที่ปรึกษาและกำลังใจสำคัญให้จูลส์ในช่วงที่เธอต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต — ว่าจะจ้างซีอีโอเข้ามาดูแลบริษัทแทนเธอหรือไม่ เพื่อให้เธอมีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น
ครูชีวิตในคราบเด็กฝึกงาน
เบนไม่ได้เป็นเพียงเด็กฝึกงานอาวุโสธรรมดา แต่เขาได้นำพาประสบการณ์และภูมิปัญญาชีวิตเข้ามาสู่ About The Fit อย่างแนบเนียน ด้วยท่าทีที่สุขุม อ่อนน้อม และเปี่ยมด้วยความเข้าใจ เขาได้สอนบทเรียนล้ำค่าให้กับทั้งจูลส์และเพื่อนร่วมงาน โดยไม่จำเป็นต้องยัดเยียดคำสอน เขาแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ที่แท้จริงนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องทำงาน แต่แฝงอยู่ในทุกปฏิสัมพันธ์ของชีวิต
การท้าทายบทบาททางเพศในโลกธุรกิจ
จูลส์เป็นภาพสะท้อนของผู้หญิงยุคใหม่ที่ต้องสวมหมวกหลายใบ ทั้งในฐานะซีอีโอผู้ทรงอิทธิพล และแม่ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการเติบโตของลูก ขณะที่แมตต์ สามีของเธอ เลือกที่จะเป็นพ่อบ้าน สถานการณ์นี้ไม่เพียงท้าทายมุมมองดั้งเดิมเรื่องบทบาททางเพศ แต่ยังสะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของการรักษาสมดุลระหว่างความทะเยอทะยานทางอาชีพและความสุขในครอบครัว
แรงกดดันและการค้นพบตัวตน
เส้นทางของจูลส์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เธอต้องเผชิญกับความคาดหวังมหาศาลจากทุกด้าน ทั้งจากนักลงทุน พนักงาน และตัวเธอเอง การต้องตัดสินใจระหว่างการรักษาตำแหน่งซีอีโอหรือยอมถอยเพื่อครอบครัว สะท้อนให้เห็นการต่อสู้ภายในจิตใจของเธอ แต่ด้วยการสนับสนุนจากเบน เธอได้ค้นพบว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การกล้าเชื่อมั่นในตัวเอง และกล้าที่จะเดินตามเส้นทางที่เธอเลือก
การส่งเสริมบทบาทผู้หญิงและการเลือกตัวเอง
เรื่องราวของจูลส์สะท้อนแนวคิดที่ว่าผู้หญิงสามารถ “มีทุกอย่าง” ได้ ทั้งความสำเร็จในหน้าที่การงานและความสุขในชีวิตส่วนตัว แม้ว่าปกติแล้วในเรื่องราวอื่นๆ ผู้หญิงมักถูกบังคับให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ใน The Intern หนังเลือกที่จะถ่ายทอดมุมมองที่ว่าความสำเร็จไม่ได้หมายความว่าต้องเสียสละความสุขส่วนตัว หากแต่การเลือกตัวเองและยืนหยัดในความฝันของตัวเองสามารถนำพาทุกสิ่งมารวมกันได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
ตัวละคร Matt ที่กลับมาในตอนท้าย ไม่ได้เป็นเพียงแค่การ “กอบกู้” ชีวิตครอบครัว แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุนและการเปลี่ยนแปลงในตัวเขาเอง ในขณะที่จูลส์สามารถเดินหน้าตามความฝันของเธออย่างมั่นคง นี่คือข้อความที่หนังต้องการส่งว่า การเลือกตัวเองไม่ได้หมายถึงความเห็นแก่ตัว แต่คือการเลือกเส้นทางที่ทำให้เราเติมเต็มทั้งความฝันและหัวใจได้อย่างสมบูรณ์
ความหมายในฉากจบ – เบนลางานไปรำไทเก๊ก
ในช่วงที่จูลส์กำลังลังเลว่าจะจ้างทาวเซนด์เป็นซีอีโอหรือไม่ และเมื่อตัดสินใจได้แล้วจะรีบมาคุยกับเบน แต่ก็พบว่าเบนตัดสินใจลางานกระทันหันไปรำไทเก๊กที่สวนสาธารณะ การกระทำนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยและแอบงงนิดๆ เพราะเมสเสจในหนังค่อนข้างคลุมเครือ แต่มุมนึงฉากนี้มีความหมายค่อนข้างลึกซึ้งเลยทีเดียว อาจตีความได้ว่าเบนต้องการให้จูลส์ตัดสินใจด้วยตัวเองโดยปราศจากอิทธิพลจากเขา และการไปรำไทเก๊กยังสื่อถึงความสงบและการปล่อยวาง ซึ่งเบนต้องการให้จูลส์ได้เรียนรู้เพื่อจัดการบาล๊านซ์กับชีวิตของเธอเช่นกัน
หรือในอีกมุมมองหนึ่ง การที่เบนชวนจูลส์รำไทเก๊ก ก็เหมือนกับการที่เขาช่วยโค้ชเธอในเรื่องธุรกิจ เบนมีความสามารถในการจัดการทั้งในด้านการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างลงตัว (โดยสังเกตุความแตกต่างได้จากบ้านของเบนและจูลส์) บทบาทของเบนเหมาะสมกับการเป็น CEO ที่ดูแลภาพรวมขององค์กร ในขณะที่จูลส์จะเหมาะกับตำแหน่ง COO ซึ่งแข็งแกร่งในเรื่องการจัดการงานประจำวันและการเป็นคนสร้างแบรนด์ได้อย่างดี (อย่างเช่นในฉากไปสอนคนที่โกดัง) ทั้งคู่จึงเหมือนเติมเต็มกันและกันในระดับที่มีความสมดุล
สรุปส่งท้าย
“The Intern” (โก๋เก๋ากับบอสเก๋ไก๋) ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์อีกเรื่องที่พูดถึงการทำงานในออฟฟิศ แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่สอนให้เราเห็นว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข และความสำเร็จไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยความสุข ผ่านการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Robert De Niro และ Anne Hathaway ที่ถ่ายทอดความสัมพันธ์อันงดงามระหว่างเด็กฝึกงานวัย 70 และซีอีโอสาววัย 30 หนังเรื่องนี้เป็นทั้งกระจกสะท้อนสังคมยุคใหม่และเรื่องราวที่จะทำให้คุณยิ้ม หัวเราะ และซาบซึ้งใจ พร้อมทิ้งท้ายด้วยความรู้สึกอิ่มเอม และความหวังว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิต โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่และสร้างความหมายให้กับชีวิตยังคงรอคุณอยู่เสมอ”
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ