Skip to content

[รีวิว] Roman Holiday : โรมรำลึก (1953) | จากสายตาคน Gen X ในปี 2025

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

ในฐานะคน Gen X ที่โตมากับหนังยุค 80s–90s Roman Holiday หรือชื่อไทย โรมรำลึก ดูจะเป็นหนังขาวดำที่เราอาจเคยเห็นผ่านหน้าผ่านตา แต่ไม่เคยมีแรงจูงใจจะนั่งดูจนจบจริง ๆ จนกระทั่งเมื่อวานนี้ก็สัมผัสได้ถึงความเรียบง่ายกลับมาเป็นเสน่ห์อีกครั้งหนึ่ง

เพราะพอได้ดูจริงจังถึงเข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงยังมีคะแนน 8/10 จากผู้ชมกว่า 150,000 คนใน IMDb และได้ถึง 3 ออสการ์ ทั้งที่เป็นหนังเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้ว และส่วนตัวคิดว่าความโดดเด่นเหล่านี้ในยุค 50s ที่ทำให้เรื่อง Roman Holiday กลายเป็นตำนาน

การถ่ายทำนอกสตูดิโอในโลเคชันจริง

ในยุค 50s หนังฮอลลีวูดยังนิยมถ่ายในฉากเซ็ตมากกว่าโลเคชันจริง Roman Holiday เป็นหนึ่งในหนังฮอลลีวูดยุคแรก ๆ ที่ไปถ่ายทำแบบเต็มรูปแบบในกรุงโรมจริง ๆ ซึ่งถือว่า “ล้ำ” มากในเวลานั้น บรรยากาศของกรุงโรมช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้กลายเป็นอีกตัวละครหนึ่งของเรื่อง เป็นทั้งฉากหลังโรแมนติกและโลกใหม่ที่เจ้าหญิงแอน (Audrey Hepburn) ไม่เคยได้สัมผัส

Audrey Hepburn – การแจ้งเกิดของ “เจ้าหญิงในจินตนาการ”

บทเจ้าหญิงแอนคือตัวแทนของผู้หญิงที่อยากหลุดจากกรอบบังคับของชีวิตในวัง ซึ่งแม้จะโรแมนติกแบบเทพนิยาย แต่ก็ยังแฝงความเป็นจริงไว้อย่างลึกซึ้ง และ Audrey Hepburn ก็คือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบทนี้

นี่คือหนังเรื่องแรกที่เธอได้รับบทนำ และก็ได้รางวัลออสการ์ทันที—ไม่ใช่แค่เพราะความสวย แต่เพราะความ “จริง” ในการแสดงของเธอ ความซนแบบธรรมชาติ แววตาที่เปล่งประกายเหมือนได้เป็นอิสระครั้งแรก เธอทำให้คนดูเชื่อว่าเธอคือเจ้าหญิงที่แอบหนีมาใช้ชีวิตแบบชาวบ้านจริง ๆ

เคมีที่ไม่จำเป็นต้องจบแบบ Happy Ending

Roman Holiday ไม่ได้จบแบบ “เจ้าหญิงแต่งงานกับชายธรรมดา” เหมือนเทพนิยาย แต่จบแบบ ขมหวาน (bittersweet) ซึ่งถือว่าแหวกแนวในยุคนั้นอย่างมาก

การเลือกให้ทั้งสองคนกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง สะท้อนความเป็นผู้ใหญ่ และความรับผิดชอบเหนือความรัก—ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เมื่อโตขึ้น และมันทำให้หนังมีพลังมากกว่าหนังโรแมนติกธรรมดา ๆ

บทภาพยนตร์ที่ซ่อนความลึกไว้ในบทสนทนาเรียบง่าย

Dalton Trumbo คือคนเขียนบทตัวจริงของเรื่องนี้ แต่ชื่อของเขาโดนแบนในยุค สว. Joseph McCarthy (ผู้เป็นแกนนำในการล่าคนที่ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น) เพราะเขาเป็นหนึ่งใน Hollywood Ten ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ บทหนังเรื่องนี้จึงถูกส่งผ่านชื่อคนอื่นแทน (ภายหลังออสการ์ได้แก้ไขให้ Trumbo อย่างเป็นทางการ)

บทภาพยนตร์ของเรื่องนี้จึงไม่เพียงแค่โรแมนติก แต่แฝงความเป็น เสรีภาพของปัจเจกชน ไว้อย่างแนบเนียน นี่คือหนังที่พูดถึงเสรีภาพของผู้หญิงก่อนยุคเฟมินิสต์เสียอีก

เมื่อมองจากบริบทนี้ เราจะเข้าใจว่า Roman Holiday ไม่ใช่แค่หนังรักระหว่างเจ้าหญิงกับนักข่าว แต่เป็นบทภาพยนตร์ที่พูดถึง การโหยหาความเป็นอิสระของปัจเจกชน ผ่านตัวละครเจ้าหญิงแอนที่ “กล้าหนีออกจากวัง” เพื่อมาสัมผัสชีวิตจริงของคนธรรมดา

ในยุคนั้น เสียงของผู้หญิงยังถูกจำกัดในกรอบอนุรักษ์นิยม การที่หนังเลือกให้เจ้าหญิงออกมาใช้ชีวิตเอง 1 วัน ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเอง และ เลือกกลับไปทำหน้าที่โดยมีสติและหัวใจที่เปลี่ยนไปแล้ว นั่นคือการบอกเล่าถึง “เสรีภาพที่มีค่า แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ”—ไม่ต่างจากศิลปินในฮอลลีวูดที่ถูกปิดปากในยุค McCarthy แต่ยังพยายามแสดงออกผ่านงานสร้างสรรค์ของตนเอง

บทสรุป

Roman Holiday อาจไม่ใช่หนังที่หวือหวาในสายตาคนรุ่นใหม่ แต่มันคือหนังที่ทำหน้าที่ได้เกินกว่าคำว่า “โรแมนติกคอมเมดี้” ไปมาก มันคือการเดินทางเล็ก ๆ ของคนที่อยากเป็นอิสระ แม้เพียงแค่วันเดียว—และบางที นั่นอาจเป็นสิ่งที่เราทุกคนยังตามหาอยู่ในปี 2025

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole