Skip to content

[รีวิว] iHostage : จับตัวประกันสนั่นเมือง (2025) | ดราม่าความตึงเครียดจากเรื่องจริง ที่ยังขาดบางสิ่งให้สมบูรณ์แบบ

เวลาที่ใช้อ่าน : < 1 นาที

อาจพบสปอยล์ในบทความ

iHostage ชื่อไทย จับตัวประกันสนั่นเมือง ภาพยนตร์ดราม่าฟอร์มใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ โดย Bobby Boerman นำผู้ชมเข้าสู่เหตุการณ์ตัวประกันในร้านแอปเปิลสโตร์ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ซึ่งดัดแปลงจาก เหตุการณ์จริงในปี 2022 ผ่านมุมมองที่ผสมผสานความตื่นเต้นเข้ากับความเป็นจริงให้รับชม โดยเรื่องราวของ “อีเลียน” (Admir Šehović) ชาวบัลแกเรียที่ต้องมาเป็นตัวประกันเพียงเพราะหูฟัง AirPods หายเลยมาหาซื้อใหม่ จนถูกจับเป็นตัวประกันโดยมือปืนชาวซีเรีย (Soufiane Moussouli) ทำให้การช้อปปิ้งธรรมดากลายเป็นสถานการณ์ที่แขวนบนเส้นด้ายที่ทุกคนต้องลุ้นไปพร้อมกัน

จุดแข็งของหนัง คือการสร้างบรรยากาศ “ความตึงเครียดแบบเรียลไทม์” ที่สมจริง ตั้งแต่ฉากลูกค้าในร้านแอบหลบขึ้นชั้นบน ไปจนถึงพนักงานของแอปเปิ้ลเอง (Emmanuel Ohene Boafo) ที่ซ่อนตัวเองกับลูกค้าอีก 3 คนไว้ในห้องเก็บของ พร้อมกับการใช้มุมกล้องหลากหลาย ทั้งมุมสอดแนมและมุมมองจากกล้องวงจรปิดที่ทีมเจรจาตัวประกันใช้ติดตามเหตุการณ์ ช่วยเร่งเร้าอารมณ์ให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง

และหนังยัง ให้เกียรติทีมงานจริง ที่อยู่เบื้องหลังการจัดการวิกฤตตัวประกัน ไม่ว่าจะเป็นทีมเจรจาหรือหน่วยยุทธวิธีที่เตรียมพร้อมนอกสถานที่ ทำให้เห็นภาพรวมของกระบวนการจัดการเหตุการณ์ได้ชัดเจน แม้จะได้แรงบันดาลใจจากหนังอาชญากรรมคลาสสิกอย่าง Inside Man หรือ United 93 แต่ “iHostage” ยังคงรักษา ความเป็นตัวเอง ผ่านการเน้น “ความธรรมดา” ของตัวละครและสถานการณ์ที่ใกล้เคียงชีวิตจริง

แต่…
หนังยังมีจุดอ่อนที่อาจทำให้บางคนรู้สึก “หลุด” จากอารมณ์ โดยเฉพาะ การพัฒนาตัวละครที่ตื้นเขิน ตัวเอกอย่างมือปืนแทบไม่มีการเปิดเผยเบื้องหลังหรือแรงจูงใจ ถูกวางตัวเป็น “วายร้ายปริศนา” แบบไร้ที่มาที่ไป จนผู้ชมอาจตั้งคำถามว่า “เขาต้องการอะไรกันแน่?” นอกจากนี้ จังหวะการเล่าเรื่องช่วงกลางถึงตอนจบ ยังรู้สึกยืดเยื้อ บางช่วงเน้นความยาวเพื่อสร้างความสมจริง แต่กลับทำให้ความตื่นเต้นลดลง แม้ฉากคลายปมสุดท้ายจะพยายามสร้างเซอร์ไพรส์ แต่ก็อาจไม่เพียงพอจะชดเชยความเหนื่อยล้าจากความยาว 1 ชั่วโมง 40 นาที

สรุป:
“iHostage” เป็นหนังที่ “ดีพอให้ดู แต่ไม่ดีพอให้จดจำ” แม้จะมีจุดเด่นด้านการถ่ายทำและความตั้งใจในการสะท้อนเหตุการณ์จริง แต่ด้วยตามสไตล์ของภาพยนตร์จากประเทศยุโรป​(อาจยกเว้นอังกฤษและฝรั่งเศสไว้) เรามักจะเห็นความทื่อๆ ขาดความกลมกล่อมทางอารมณ์เหมือนภาพยนตร์ฝั่งฮอลลี่วูด รวมถึงการพัฒนาตัวละครและบทที่ยังไม่ลึกพอ ทำให้มันอาจเป็นแค่หนังฆ่าเวลาสำหรับคนชอบแนวอาชญากรรมดราม่าเท่านั้น หากคุณชอบหนังที่เน้นแอคชั่นเร็วแรงหรือพล็อตซับซ้อน อาจต้องคิดอีกที แต่ถ้าอยากสัมผัสมุมมองใหม่ของหนังยุโรปที่แตกต่างจากฮอลลี่วูดบวกกับความสนใจในเค้าโครงจริง แนะนำให้ลองสตรีมบน Netflix ดูสักครั้ง

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole