Skip to content

[รีวิว] Black Mirror : แบล็ก มิร์เรอร์ ซีซั่น 7

เวลาที่ใช้อ่าน : 4 นาที

Black Mirror Season 7 กลับมาอีกครั้งด้วยหกตอนที่นำเสนอเรื่องราวหลากหลายแง่มุม ตั้งแต่การวิพากษ์ระบบทุนนิยมและบริษัทเทคโนโลยี ไปจนถึงเรื่องราวความรัก ความสูญเสีย และผลกระทบของเทคโนโลยีต่อชีวิตมนุษย์ ที่สะท้อนความโลภของระบบสมาชิกแบบจ่ายเงิน, การแก้แค้นผ่านคอมพิวเตอร์ควอนตัม, เรื่องราวโรแมนติกผสมผสานกับเทคโนโลยีในแบบที่ไม่คาดคิด, AI ครองโลก, หรือสำรวจประเด็นเรื่องความรักและการสูญเสียในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง และปิดท้ายด้วยภาคต่อของตอนดังจากซีซั่น 4 ที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่นและแนวคิดเชิงปรัชญา ซีรีส์ยังคงรักษาเอกลักษณ์ในการนำเสนอเรื่องราวที่ชวนให้คิดและสะท้อนสังคม โดยในบทความนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของแต่ละตอน ผู้อ่านที่ยังไม่ได้รับชมควรระมัดระวังเรื่องสปอยล์

ตอนที่ 1 “Common People” (คนทั่วไป)

Black Mirror กลับมาแล้ว! และกลับมาในรูปแบบที่เราคุ้นเคย กับการนำเสนอเรื่องราวที่ทำให้ขนลุกและตกตะลึงหลายครั้ง “Common People” เป็นการเปิดตัวซีซั่น 7 ที่ทรงพลัง นำเสนอแนวคิดที่ชาญฉลาด การแสดงระดับแถวหน้า และจังหวะเรื่องที่กระชับน่าติดตาม

ตอนนี้เป็นภาพสะท้อนอันคมชัดของระบบสมาชิกแบบจ่ายเงิน (subscription) และความโลภของทุนนิยมสมัยใหม่ เริ่มต้นด้วยข้อเสนอฟรีที่ดูเหมือนปฏิเสธไม่ได้ ทำให้คุณต้องยอมรับมัน เพลิดเพลินไปกับมัน และค่อยๆ เริ่มพึ่งพามันจนผสานเข้ากับชีวิตประจำวันของคุณอย่างไร้รอยต่อ มอบความสะดวกสบาย ความสุข และความรู้สึกที่ว่าคุณควบคุมได้ แต่เมื่อคุณลงทุนไปอย่างเต็มที่แล้ว กับดักก็ถูกวางไว้ ฟีเจอร์สำคัญที่เคยเป็นพื้นฐานถูกล็อคไว้หลังกำแพงที่ต้องจ่ายเงิน ระบบเริ่มบีบรัดคุณ และถ้าคุณต้องการรักษาระดับความสะดวกสบายเดิมไว้ คุณก็ถูกบังคับให้สมัครสมาชิก

ราชิดา โจนส์ ในบท อแมนด้า, คริส โอ’ดาวด์ ในบท ไมค์, และเทรซี่ เอลลิส รอสส์ ในบทเซลส์ เกย์เนอร์ แสดงกันได้อย่างยอดเยี่ยม สื่อถึงความทุกข์ทรมานและความเย็นชาของบริษัทได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นับว่าเป็นตอนที่ชวนให้อึดอัดและสะเทือนใจอย่างมาก แต่ก็ตรงไปตรงมาในแบบฉบับของ Black Mirror สะท้อนให้เห็นว่าระบบทุนนิยมสมัยใหม่กำลังจับเราเป็นตัวประกันเพื่อความโลภของบริษัทใหญ่ๆ ด้วยวิธีที่รุกล้ำและทำลายล้างมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีขีดจำกัดว่าพวกเขาจะไปไกลแค่ไหนเพื่อผลกำไร โดยไม่สนใจผลกระทบต่อ “คนทั่วไป” และยังเป็นเรื่องราวการเสียดสีที่เจ็บปวดอย่างมาก ไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่ยังกระตุ้นให้คิด ตั้งคำถามเกี่ยวกับศีลธรรม การเลือก และพื้นที่สีเทาอันนั้น เราเสียสละอะไรในนามของนวัตกรรม? และด้วยราคาเท่าไร? ความไม่สบายใจที่คาใจนี้คือสิ่งที่ทำให้ตอนคลาสสิกของ Black Mirror น่าจดจำ และตอนนี้สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งในตอนที่ดีที่สุด

ตอนที่ 2 “Bête Noire” (เบทนัวร์)

“Bête Noire” นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเวอริตี้ กรีน (โรซี่ แมคอีเวน) และมาเรีย (เซียนา เคลลี่) เพื่อนร่วมงานที่มีประวัติไม่ลงรอยกันตั้งแต่สมัยมัธยม ตอนนี้สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดระแวง ความสับสน และความหวาดกลัวได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก เมื่อมาเรียเริ่มเผชิญกับเหตุการณ์ประหลาดที่คนรอบข้างเห็นต่างจากเธอ ทำให้เธอถูกมองว่าเป็นคนไม่น่าไว้วางใจ เหมือนโดนคนรอบข้าง Gaslighting กับ Mandela effect การกำกับ การตัดต่อ และดนตรีประกอบสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดระแวงได้อย่างดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกบาปกรรมอันใดที่มาเรียเคยทำอะไรไว้ได้อย่างดี

แม้ว่าการสร้างเรื่องและการแสดงจะยอดเยี่ยม แต่ความน่าสนใจของเรื่องเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่ช่วงที่สอง เมื่อเปิดเผยว่าเวอริตี้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถเปลี่ยนความเป็นจริงและสร้างจักรวาลคู่ขนานตามต้องการ แรงจูงใจในการแก้แค้นของเวอริตี้คือข่าวลือสมัยมัธยมที่ทำให้ครูของเธอต้องย้ายที่ทำงาน ซึ่งหลายคนมองว่าไม่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับพลังมหาศาลที่เธอได้รับ จุดนี้ทำให้เรื่องดูเหนือจริงและไม่สอดคล้องกับแก่นของ Black Mirror ที่มักนำเสนอเทคโนโลยีที่อาจเกิดขึ้นได้จริงในอนาคตอันใกล้

ตอนนี้มีการอ้างอิงถึงตอนแรก “Common People” ผ่านบริษัท Ditta ที่เป็นผู้ผลิต Honey Hugs ที่ปรากฏในโฆษณาที่อแมนดา วอเตอร์สรับรองในชั่วโมงสอนวิทยาศาสตร์ของเธอ ภาพรวมเป็นตอนที่สนุกหากไม่คิดมากและเพลิดเพลินไปกับมัน แม้จะไม่ใช่ตอนที่โดดเด่นหรือน่าจดจำมากที่สุดของซีรีส์ Black Mirror ก็ตาม

ตอนที่ 3 “Hotel Reverie” (โรงแรมแห่งฝัน)

“Hotel Reverie” นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจและเป็นเอกลักษณ์ ตอนนี้เริ่มต้นด้วยจังหวะที่ค่อนข้างช้า แต่ในครึ่งหลังของเรื่องกลับพาผู้ชมไปสู่ทิศทางที่ไม่คาดคิด มีการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและอารมณ์ความรู้สึกในแบบที่มีเพียง Black Mirror เท่านั้นที่จะทำได้ เป็นหนึ่งในตอนที่มีความโรแมนติกและสะเทือนใจมากที่สุดของซีรีส์นี้ ฉากและภาพถ่ายสวยงาม มีการสร้างบรรยากาศและความลึกลับที่น่าดึงดูด บทนำเรื่องถูกทำออกมาได้อย่างงดงาม

เรื่องราวความรักระหว่างตัวละครหลักเป็นสิ่งที่สัมผัสใจผู้ชม แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดหวังคือการเลือกนักแสดงนำ อิสซา เรย์ กับบทดาราดัง “แบรนดี้” เพราะรู้สึกว่าขาดเสน่ห์ในบทนำของเธอจนบางครั้งก็แอบคิดว่าแซะความ Woke ในสมัยใหม่หรือเปล่านะ? แต่นั่นก็แหละ..ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครดูไม่น่าเชื่อถือ ตรงกันข้ามกับเอ็มมา คอร์ริน ที่คิดว่าเธอถ่ายทอดการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยเสน่ห์และความอบอุ่นในทุกฉากที่เธอปรากฏตัว ประโยคที่ว่า “ฉันเกิดในกรง ฉันควรตายในกรง” ทำให้น้ำตาแทบไหล และการแสดงของเอ็มมาทำให้เชื่อว่าเธอมาจากศตวรรษที่ 40s – 50s จริงๆ

และประเด็นที่ทำให้สับสนก็คือการที่ตัวละครสามารถเข้าถึงความทรงจำและประสบการณ์ต่างๆ ของดอโรธี เชมเบอร์ส รวมถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่เธอยังไม่ได้ประสบ เช่น ตอนที่เธอเสียชีวิต ทำให้รู้สึกถึงความไม่น่าเชื่อถือในจักรวาลของเรื่อง แม้ว่าจะบอกเป็นนัยๆ ว่า สิ่งที่โปรแกรมให้เธอนั้นเริ่มเรียนรู้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ได้รับการชื่นชมว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่และภาพยนตร์คลาสสิกยุคฮัมฟรีย์ โบการ์ต

ตอนที่ 4 “Plaything” (ของเล่น)

“Plaything” เป็นตอนที่มีกลิ่นอายของ Black Mirror ยุคแรกๆ มาเต็ม เล่าเรื่องราวของ คาเมรอน วอล์คเกอร์ นักเขียนรีวิววิดีโอเกมในนิตยสาร PC Gamer ผู้มีความเชื่อมโยงกับ AI อันน่ารักที่มีเจตนาบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ การกำกับของ เดวิด สเลด สร้างบรรยากาศที่อึดอัด ทั้งในฉากอนาคตปี 2034 และย้อนกลับไปยังยุค 90s ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดของยุคนั้น ตั้งแต่เกมทามาก๊อต, Street Fighter II ไปจนถึงร้าน CeX การปรากฏตัวของ Colin Ritman (วิล พูลเตอร์) จาก “Bandersnatch” ก็เป็นการเชื่อมโยงจักรวาลที่แฟนๆ ชื่นชอบ

การแสดงของ ปีเตอร์ คาปัลดี ในบทคาเมรอนยุคปัจจุบันและ ลูอิส กริบเบิน ในบทคาเมรอนวัยหนุ่มแสดงออกมาได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะกริบเบินที่สร้างความรู้สึกอึดอัดและน่าสะพรึงกลัวได้อย่างดี แม้บางครั้งก็คิดว่าบทไม่ได้ให้พื้นที่เพียงพอสำหรับคาปัลดีที่แสดงได้ดีแต่มีบทบาทไม่มากเท่าที่ควร ตอนนี้มีจุดเด่นในเรื่องภาพและเสียง การออกแบบฉากและเครื่องแต่งกายที่สื่อถึงยุค 90s ได้อย่างชัดเจน

แม้จะมีแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการร่วมและการวิพากษ์สังคม แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เจาะลึกในประเด็นเหล่านี้มากพอ ตอนจบที่ทิ้งคำถามปลายเปิดไว้ว่า “เราวิวัฒนาการหรือแค่ถูกพิชิต?” เป็นคำถามที่ดี แต่ปรากฏสายเกินไปและมีน้ำหนักไม่มากพอ บางคนรู้สึกว่าเรื่องราวขาดความสมบูรณ์หรือจบแบบกะทันหัน ราวกับผู้เขียนมีไอเดียดีๆ แต่ไม่แน่ใจว่าจะสรุปอย่างไร อย่างไรก็ตาม “Plaything” ยังคงเป็นตอนที่มีเสน่ห์และสร้างความอึดอัดในแบบที่ Black Mirror ยุคแรกๆ ทำได้ดี เป็นการกลับมาของความมืดมนและเครียดที่แตกต่างจากตอนอื่นๆ ในซีซั่น 7 อย่างสิ้นเชิง แถม…ใครอยากเล่นเกม Thronglets ในมือถือก็สแกน QR CODE ด้านล่างได้เลย

ตอนที่ 5 “Eulogy” (คำสรรเสริญ)

“Eulogy” เป็นตอนที่แตกต่างจากตอนอื่นๆ ของ Black Mirror ไม่ได้มีแนวคิดเทคโนโลยีที่ซับซ้อนหรือการหักมุมที่ตื่นเต้น แต่นำเสนอเรื่องราวอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เล่าถึงชายแก่ที่โดดเดี่ยวชื่อ ฟิลลิป ผู้ได้รับการติดต่อให้ร่วมเขียนคำไว้อาลัยให้กับแฟนเก่าที่เขาเคยคิดว่าเป็นรักแท้ของชีวิต การเผชิญหน้ากับอดีตและความเจ็บปวดนำเขาไปสู่การค้นพบความจริงที่สะเทือนใจ ตอนนี้สำรวจประเด็นเรื่องความรัก การสูญเสีย และผลกระทบของความเศร้าโศกที่มีต่อชีวิตมนุษย์

พอล จิอามัตติ แสดงในบทฟิลลิปได้อย่างยอดเยี่ยม นำเสนอตัวละครที่ทั้งเปราะบางและซับซ้อน เขาถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งจนผู้ชมสามารถเชื่อมโยงกับความเจ็บปวดของตัวละครได้ แม้เราจะได้รู้จักฟิลลิปเพียงแค่ 45 นาที แต่รู้สึกเหมือนเราได้เห็นประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเขา การถ่ายภาพและแสงในตอนนี้สมบูรณ์แบบ และเพลงประกอบช่วยส่งเสริมอารมณ์ของเรื่องได้เป็นอย่างดี

หลายๆ รีวิวยกให้ “Eulogy” เป็นหนึ่งในตอนที่ดีที่สุดของ Black Mirror เพราะความเรียบง่ายที่ทรงพลัง แม้จะเป็นตอนที่มีจังหวะช้า แต่การเปิดเผยความจริงในตอนท้ายคุ้มค่ากับการรอคอย เป็นการเตือนใจให้เราคิดถึงความสัมพันธ์ในอดีตและผลกระทบที่มันมีต่อชีวิตของเรา ตอนนี้สามารถสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้ชมที่เคยประสบกับความผิดหวังในความรักได้อย่างลึกซึ้ง และแสดงให้เห็นว่า Black Mirror ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแต่เทคโนโลยีล้ำสมัยหรือพล็อตเรื่องที่ซับซ้อนเพื่อสร้างตอนที่น่าประทับใจ บางครั้งเรื่องราวความเป็นมนุษย์ที่เรียบง่ายก็มีพลังมากกว่า

ตอนที่ 6 “USS Callister: Into Infinity” (ยูเอสเอส คัลลิสเตอร์ สู่โลกที่ไร้ขอบเขต)

“USS Callister: Into Infinity” เป็นตอนปิดท้ายซีซั่น 7 ของ Black Mirror ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมอย่างมาก ตอนนี้เป็นภาคต่อของ USS Callister จากซีซั่น 4 ที่หลายคนรอคอย และสมควรเรียกว่าเป็น “ภาพยนตร์” มากกว่า “ตอน” ด้วยความยาวกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที และคุณภาพการผลิตที่เทียบเท่าหนังฉายในโรงภาพยนตร์

เรื่องราวเล่าถึงลูกเรือของ USS Callister ที่นำโดยกัปตันคนใหม่อย่าง “นาเน็ตต์” ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในโลกเกมออนไลน์ Infinity ที่มีผู้เล่นกว่า 30 ล้านคน พวกเขาต้องเผชิญความท้าทายในโลกของเกมนี้เพราะสามารถตายได้จริงๆ แม้จะเป็นร่างดิจิทัลโคลนก็ตาม ภาคต่อนี้มีทั้งฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ เต็มไปด้วยเอฟเฟกต์พิเศษที่ตระการตา และเสียงประกอบที่ยอดเยี่ยม โดยยังคงรักษาแนวคิดเชิงปรัชญาเรื่องความเป็นจริง ตัวตน และธรรมชาติของมนุษย์ที่ Black Mirror มักนำเสนอ

การแสดงของนักแสดงทุกคนน่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Cristin Milioti ที่รับบทนาเน็ตต์และ Jimmi Simpson ที่โดดเด่นด้วยจังหวะการแสดงตลกที่เป็นธรรมชาติ การกลับมาของ Jesse Plemons ในบทโรเบิร์ท เดลี่ ก็ถูกเขียนบทมาเซอร์ไพรซ์ได้อย่างชาญฉลาด โดยให้เขารับบทเป็นตัวละครที่อ่อนวัยลง ซึ่งเข้ากับรูปร่างที่ผอมลงของเขาได้อย่างลงตัว

บทสรุปของเรื่องเป็นที่น่าประหลาดใจและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ตอนนี้กลายเป็นอีกหนึ่งในตอนที่ดีที่สุดของ Black Mirror ซีซั่น 7 ที่หลายคนเห็นว่าเป็นการกลับมาสู่ฟอร์มที่ดีของซีรีส์หลังจากซีซั่น 6 ที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง แม้จะมีจุดอ่อนเรื่องการพัฒนาตัวละครสนับสนุนบางตัวที่ยังไม่ลึกซึ้งพอ แต่โดยรวมแล้ว “USS Callister: Into Infinity” ถือเป็นการปิดท้ายซีซั่น 7 ที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำ

เกร็ดจากตอน USS Callister: Into Infinity จาก IMDB

  • เมื่อวอลตันเปิดกล่องของเดลี่ เขาพบหนังสือการ์ตูน Space Fleet ชื่อ “Back for Vengeance” ที่เต็มไปด้วยการอ้างอิงแฝง: มีวัลโด้จากตอน The Waldo Moment (2013), สัญลักษณ์จาก White Bear (2013) และหมาหุ่นยนต์จาก Metalhead (2017)
  • ชาร์ลี บรู๊คเกอร์ ผู้สร้างซีรีส์ ยังไม่ปิดโอกาสที่จะมีภาคต่อของเรื่องนี้อีก เขาบอกว่าอาจจะยังไม่จบกับโลกของ USS Callister และ “ไม่มีอะไรแน่นอน”
  • พิกซี่ เกมเมอร์ผมเปียสีชมพู กำลังฟังเพลง “On a Roll” โดย Ashley O จากตอน Rachel, Jack and Ashley Too (2019) และยังมีภาพของ Ashley O บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอด้วย
  • ที่นาทีที่ 10:10 มีภาพของยาห์ยา อับดุล-มาทีน ที่ 2 นักแสดงที่รับบทเป็นคาร์ลในตอน Striking Vipers (2019) กำลังเชื่อมต่อกับเกม
  • ข้อความที่วิ่งผ่านรายงานข่าวเกี่ยวกับความล่มสลายของวอลตันมีการพาดพิงถึงเรื่องราวในซีซั่น 7 หลายจุด: “Hotel Reverie รีบูตลง Streamberry แล้ว” “Thronglets 2 เปิดตัวท่ามกลางคำชื่นชมจากนักวิจารณ์” และ “CTO ของ Rivermind ลาออก” นอกจากนี้ยังมีข่าว “อดีตนายกฯ อังกฤษ ไมเคิล แคลโลว์ เข้าเรียนโรงเรียนสัตวแพทย์สำหรับคนดัง” ซึ่งบ่งบอกว่าแคลโลว์ยังคงหนีไม่พ้นชื่อเสียงจากเหตุการณ์ในตอน The National Anthem (2011)
  • โรงพยาบาลที่นาเน็ตต์เข้ารับการรักษาชื่อโรงพยาบาลเซนต์จูนิเปอร์ ซึ่งเป็นการอ้างอิงชัดเจนถึงตอน San Junipero (2016)
  • หลังจากส่งคำเชิญไปยังทุกคนที่เคยถูกปล้น มีผู้เล่นสองคนที่ปรากฏมาจากตอน “Demon 79” (S6
    ) ตอนจบของตอนนั้น นิดาและกาปพูดว่าพวกเขากำลังเข้าสู่ “ความลืมเลือนนิรันดร์” ซึ่งอาจหมายความว่าจักรวาลเสมือนจริงที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้คือความลืมเลือนนิรันดร์นั่นเอง
  • ปัญหาเรื่องตารางเวลาทำให้ไมคาเอลา โคเอล ตัวละครชาเนีย โลว์รี ไม่สามารถกลับมาร่วมแสดงในภาคต่อนี้ได้ พวกเขาจึงสร้างคำอธิบายสั้นๆ ด้วยการเปิดเผยถึงการตายไปของเธอในระหว่างอยู่ในเกมแทน

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole